3 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ โลกน่าจะได้รับทราบกันแล้วว่า ใครจะเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนต่อไป นั่นย่อมหมายถึงความเคลื่อนไหวของนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะพี่ใหญ่ของโลก หรือในฐานะคู่เจรจาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ ในแต่ละทวีป ประเด็นนี้เองที่ทำให้ความน่าสนใจของว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ถูกจับตาจากหน่วยงานสำคัญทั่วโลก รวมไปถึงรัฐบาลไทย และประเทศในทวีปเอเชียของเราด้วย
จะว่าไปแล้ว สำหรับเอเชียของเราโดยเฉพาะกับประเทศจีน อเมริกาในการบริหารของ “โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ดูจะมีความสัมพันธ์อันไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะการตั้งมาตรการภาษีทางการค้ากับรัฐบาลทั่วโลกตามนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” หรือAmerican First ที่กระทบกับจีนอย่างหนักหน่วงจนทางการจีนต้องตอบโต้กลับด้วยมาตรการทางภาษีเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลานั้นก็ทำให้ตลาดการค้าและการเงินทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน ความไม่ลงรอยกันพัฒนาอย่างใหญ่โตจากสงครามการค้า (Trade War) กลายไปเป็นสงครามทางเทคโนโลยี (Cyber War) มีการระงับการใช้บริหารบริษัทเทคโนโลยีของจีน และผู้บริหารของบริษัทนั้นก็ได้รับการตั้งข้อหาร้ายแรงในเรื่องของการละเมิดกรณีคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน รวมไปถึงการให้ความสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมในฮ่องกงที่ออกมาต่อต้านกฎหมายความมั่นคงจากจีน และล่าสุดกับการเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากจีนจากรัฐบาลของนายโดนัลด์ทรัมป์ ในกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจและคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน
แน่นอนว่า วีรกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันต่อเอเชีย โดยเฉพาะจีนอาจไม่เป็นที่ถูกใจนัก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในทางกลับกัน พฤติกรรมหรือนโยบายแบบแข็งกระด้างเช่นนี้เองที่สร้างความนิยมในตัวของโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อกลุ่มผู้สนับสนุนของเขา จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าผลการเลือกตั้งที่ออกมายังเป็นประธานาธิบดีคนเดิมนโยบายความสัมพันธ์ต่อจีนและประเทศในทวีปเอเชียจะยิ่งแข็งกร้าวมากขึ้น และประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป ตะวันออกกลางหรือแม้แต่กลุ่มประเทศในอเมริกาเหนือก็คงต้องเจอกับแรงกดดันทางการค้าทางสังคม และความมั่นคงต่อไปไม่ต่างกัน เพื่อสนองนโยบายชาวอเมริกันต้องมาก่อนคนประเทศอื่น ซึ่งเป็นแรงขับในใจของชาวอเมริกันชนคนผิวขาวที่ต้องยอมรับว่ามีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นฐานคะแนนสำคัญของทรัมป์สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ และครั้งก่อนหน้า
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้นักวิเคราะห์ทางการเมืองส่วนใหญ่มองว่า ถ้าโลกต้องการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแบบละมุนละไม กลับมาร่วมด้วยช่วยกันเหมือนครั้งเก่าก่อน ทั้งเรื่องของการสาธารณสุข ทั้งเรื่องของการค้าการลงทุน ทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงความประนีประนอมต่อปัญหาระหว่างประเทศที่มี
กรณีพิพาทต่างๆ นั้น “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต จะเป็นคำตอบอันถูกต้องที่สุด ซึ่งดูเหมือนว่าสำนักโพลล์หลายสำนักทั้งจากนอกประเทศ และในสหรัฐฯ เองก็เห็นตรงกันในประเด็นนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะวางใจในผลลัพธ์ที่ได้มากนัก เพราะในปี 2016 ผลโพลล์และการวิเคราะห์ก็ออกมาในทำนองนี้ “ฮิลลารี คลินตัน” เหมือนจะได้รับการสนับสนุนที่ล้นหลาม แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายให้แก่กระบวนการเลือกตั้งแบบสหรัฐอเมริกา และได้ “โดนัลด์ ทรัมป์”มาบริหารบ้านเมือง
สำหรับกระแสของผู้สนับสนุนเองก็น่าสนใจ เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมามีInfluencer หรือผู้มีอิทธิพลบนสื่อสังคมออนไลน์ระดับแม่เหล็กหลายท่านออกมาให้การสนับสนุนว่าที่ประธานาธิบดีในฟากฝั่งของเดโมแครตอย่างไม่มีกั๊ก หนึ่งในนั้นก็เป็นนักร้องสาวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลกอย่าง “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ที่ให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับประเด็นประธานาธิบดีที่เธอต้องการ โดยหยิบยกเรื่องของการยอมรับในสีผิว การให้เกียรติเพศทางเลือก และผู้หญิง รวมไปถึงการจัดการกับโควิด-19 ซึ่งทั้งหมดเป็นประเด็นที่โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกโจมตีจากสื่อกระแสหลักแทบทั้งสิ้น นอกจากนั้นเธอยังโพสต์รูปภาพลงบนสื่อสังคมออนไลน์ของตัวเองในการแสดงออกถึงการเชียร์“โจ ไบเดน” อย่างชัดเจน
ผู้สนับสนุนอีกคนของอดีตรองประธานาธิบดี (ในสมัยนายบารัค โอบามา) ไม่ได้เป็นชาวอเมริกัน แต่ก็มีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกมหาศาล นั่นคือ “เกรตาทุนเบิร์ก” นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการสื่อสารผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเธอว่า “ที่ผ่านมา ฉันไม่เคยแสดงจุดยืนสนับสนุนพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่งมาก่อน แต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึง มีความสำคัญมาก และรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาสภาพอากาศโลกอย่างจริงจัง จึงขอให้ทุกคนออกไปลงคะแนนให้ไบเดน” ซึ่งแน่นอนว่าภาพของโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นลบอยู่แล้ว แถมยังเคยมีวิวาทะในเรื่องของการแก้ไขปัญหาโลกร้อนกับสาวน้อยเกรตามาก่อนหน้านี้อีกด้วย รวมไปถึงนโยบายหาเสียงของเดโมแครตรอบนี้ก็ให้น้ำหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ (กลับไปร่วมปฏิญญาปารีสว่าด้วยการลดผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศของโลกทันทีเน้นการใช้พลังงานสะอาด ด้วยการสนับสนุนการใช้ยานพาหนะไฟฟ้าและพลังงานทดแทนอย่างเข้มข้น) ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่ทีมหาเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องคิดหนักว่า จะแก้เกมที่เกิดขึ้นมาอย่างไร
กระนั้น ในเรื่องของการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เห็นได้จากเหตุการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จากผู้ช่วยสาวส่วนตัว
จนต้องเข้ารับการรักษาอาการ จนใครหลายคนมองว่า เป็นคราวซวยของทรัมป์ เพราะก่อนหน้านี้เขาเองประกาศมาตลอดว่า โควิด-19 ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะรักษาหาย สิ่งที่น่ากังวลคือเรื่องของเศรษฐกิจ ดังนั้น เขาจึงพยายามอย่างมากที่จะสั่งการให้ทุกรัฐกลับมาเปิดเมืองทำมาค้าขายเหมือนเดิมอีกครั้ง ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวทางของไบเดน ที่เลือกจะใส่หน้ากากป้องกันตัวเอง เน้นการปิดเมืองจนกว่าจะมีวัคซีน และให้ความใส่ใจกับอัตราการตายและการติดเชื้อเป็นสำคัญ
แต่แทนที่การติดเชื้อจะทำให้ทรัมป์สงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นในเรื่องนโยบายด้านสาธารณสุขในการจัดการปัญหาโควิด-19 ทว่าเช้าวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม หลังจากที่ทรัมป์ออกจากโรงพยาบาล 1 วัน และอยู่โรงพยาบาลไม่ถึงสัปดาห์ เขาก็ออกมายืนปราศรัยที่ตรงระเบียงของทำเนียบขาว และใช้เวลาประมาณ 20 นาที บรรยายถึงสุขภาพที่ดีมากของตัวเอง ก่อนจะโอ้อวดศักยภาพทางสาธารณสุขของสหรัฐฯ และยืนยันว่าตัวเขาเองจะพาบ้านเมืองเอาชนะ “ไวรัสจีน” ได้อย่างแน่นอน (ในคำปราศรัยก็ใช้คำปรามาสประเทศจีนเพื่อเรียกความสนับสนุนด้วย)
อีกทั้งในคลิปหาเสียงของทรัมป์ ทีมหาเสียงของเขายังตัดต่อคำพูดของ“นายแพทย์แอนโธนี ฟาวซี” ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติที่ดำรงตำแหน่งเฉพาะกิจเป็นหัวหน้าทำงานเพื่อการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19ของทำเนียบขาว ที่มีเนื้อหาสื่อสารในทำนองที่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้อย่างสุดกำลังแล้วในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ออกมาตำหนิทีมหาเสียงของทรัมป์ ว่านำคำพูดของเขาไปใช้หาเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตแถมยังเป็นการตัดตอนคำพูดของเขาบางส่วนอีกต่างหาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับทรัมป์ เพราะหลังจากคุณหมอแอนโธนีแฉออกมาแบบนี้ เขาก็ทวิตเตอร์ตอบโต้ทันที รวมไปถึงทีมหาเสียงก็ทวิตเตอร์ตอบโต้ด้วยเช่นกัน ในทำนองที่ว่า “พูดเองกับตัวแท้ ทำไมถึงไม่ยอมรับ”
และล่าสุดที่ฮือฮาก็คือการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตเตอร์ออกมาว่า ตัวเขาเองมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เล่นเอาทวิตเตอร์ต้องติดธงเตือนข้อความของเขาในทันทีว่าอาจเป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือได้ ทางด้านโจ ไบเดน ก็ไม่น้อยหน้าก็ทวิตเตอร์แซว “ไมค์ เพนน์” รองประธานาธิบดีในทีมของทรัมป์เช่นเดียวกัน ในประเด็นที่ดีเบตกับ “คามาร่า แฮร์ริส”ว่าที่รองประธานาธิบดี จากพรรคเดโมแครตแล้วมีแมลงวันเกาะอยู่บนหัวเป็นเวลานานจนไบเดนหยอกไปว่าอยากเสนอขายไม้ตีแมลงวันให้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นความแสบสันในระหว่างการหาเสียงของทั้งสองผู้สมัครที่ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นใคร ย่อมมีอิทธิพลต่อนโยบายของทุกประเทศทั่วโลกอย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี