เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติของจีน (CNSA) ได้เผยแพร่ภาพธงชาติจีนบนพื้นผิวของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นการใช้แขนกลของยานสำรวจอวกาศที่มีชื่อว่า “ฉางเอ๋อ 5” ยื่นธงชาติแล้วบันทึกภาพ ก่อนที่จะเดินทางออกจากดวงจันทร์เพื่อกลับสู่โลก โดยภารกิจครั้งนี้ของนักบินอวกาศของจีน คือการเก็บตัวอย่างดินและหินจากพื้นผิวของดวงจันทร์ให้ได้ 2 กิโลกรัม จากบริเวณที่เรียกกันว่า “แอ่งมหาสมุทรพายุ” ที่อยู่ทางตะวันตกของพื้นผิวดวงจันทร์ในด้านที่หันมายังโลก เพื่อนำกลับมาศึกษาเกี่ยวกับการก่อตัวของดวงจันทร์ สำหรับการสร้างฐานทดลองด้านดาราศาสตร์ และคลื่นวิทยุบนดวงจันทร์ในอนาคต
ก่อนหน้านี้ “ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง” เคยประกาศเอาไว้แล้วว่า จีนจะเป็นมหาอำนาจด้านการสำรวจอวกาศ เพื่อยืนยันในความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของโลก และสร้างการยอมรับอย่างจริงใจ ดังนั้น จึงมีเป้าหมายด้านการสำรวจอวกาศมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถส่งนักบินอวกาศสู่วงโคจรของอวกาศได้สำเร็จในปี 2003 ถัดจากสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต ก่อนที่ปี 2017 จะเตรียมการไปสู่ดวงจันทร์ และตั้งเป้าหมายว่าไม่เกินปี 2022 จีนจะมีสถานีอวกาศเป็นของตัวเอง
การถ่ายภาพธงชาติมาปรากฏบนหน้าสื่อในครั้งนี้ของจีน ก็มีความหมายในเชิงการสื่อสารที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์เป็นประเทศที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกาในการชูธงชาติบนดวงจันทร์ หลังจากภารกิจ “อะพอลโล 11” ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) โดย “บัซ อัลดริน” ปักธงชาติสหรัฐฯ บนดวงจันทร์เอาไว้เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2512 ที่สำคัญการนำตัวอย่างดินจากดวงจันทร์กลับมายังโลกของฉางเอ๋อ 5 ยังเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ต่อจาก “ภารกิจลูนา 24” ของสหภาพโซเวียต ที่เคยนำตัวอย่างพื้นผิวจากดวงจันทร์กลับมายังโลกเมื่อปี 2519
เหล่านี้เองที่ทำให้การเดินทางไปดวงจันทร์ของจีนมีความหมายมากกว่าแค่การสำรวจ เฉกเช่นเดียวกับการไปดวงจันทร์ของสหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาหนึ่งที่ต่างต้องการประกาศแสนยานุภาพของตัวเองต่อโลก และต่อกัน ไม่ต่างจากอีกหลายประเทศที่ได้ส่งนักบินอวกาศพร้อมยานอวกาศขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์มาก่อนหน้านี้ที่มีเป้าหมายมากกว่าแค่การไปสำรวจอวกาศ อาทิ
องค์การวิจัยด้านอวกาศแห่งอินเดีย ที่เพิ่งส่ง “จันทรายาน 2” (Chandrayaan 2) พร้อมรถหุ่นยนต์สำรวจขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อปลายปี 2019 ด้วยจรวด GLSV Mark III ซึ่งเป็นภารกิจสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ครั้งที่ 2 หลังจากอินเดียเคยส่ง “จันทรายาน 1” ไปสำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์ในปี 2008 มาแล้ว
แน่นอนว่า อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาด้านอวกาศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการพัฒนาจรวดขนส่งอวกาศ ยานสำรวจอวกาศ รวมไปถึงภารกิจขนส่งดาวเทียมเชิงพาณิชย์ พวกเขาเริ่มต้นวิจัยพัฒนาจรวดขนส่งอวกาศ Satellite Launch Vehicle (SLV) ตั้งแต่ปี 1987 จนสามารถพัฒนาจรวด GLSV Mark III ซึ่งเป็นจรวดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดียในปัจจุบัน นอกจากโครงการสำรวจดวงจันทร์แล้ว อินเดียยังเป็นประเทศแรกของเอเชียที่สามารถส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคาร โดยยานมังกลายาน(Mangalyaan) เดินทางเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารได้สำเร็จในวันที่ 24 กันยายน 2014 นอกจากนี้ อินเดียยังมีแผนการส่งมนุษย์อวกาศอินเดียคนแรกขึ้นสู่วงโคจรของโลกในปี 2022 หากประสบความสำเร็จอินเดียจะกลายเป็นประเทศลำดับที่ 4 ของโลกที่สามารถส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศได้ ซึ่งความพยายามของอินเดียในการก้าวขึ้นสู่ชาติมหาอำนาจด้านอวกาศของโลกนั้น แรงผลักดันที่สำคัญก็หนีไม่พ้นการต้องแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศกับประเทศจีน ที่อย่างที่เล่าให้ฟังในตอนต้นแล้วว่า พวกเขาพัฒนาไปในแบบก้าวกระโดดอย่างไร
ถัดมาก็คือ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (Japan Aerospace ExplorationAgency-JAXA) ที่เสร็จสิ้นภารกิจไปแล้วมากมายทั้งเรื่องของการวิจัยและพัฒนา การสำรวจดาวเคราะห์ การส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร และการพามนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์
“ยานอวกาศเซลีนี” (SELENE) ที่แปลว่า ดวงจันทร์ ได้รับการปล่อยขึ้นจากฐานปล่อยจรวดในศูนย์ศึกษาอวกาศทะเนะงะชิมะ จังหวัดคะโงะชิมะ ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2007 และใช้เวลาไม่ถึงเดือนในการแล่นเข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์ ก่อนจะทำการสำรวจด้านธรณีวิทยาของดวงจันทร์ เป็นเวลา2 ปี ซึ่งการส่งยานอวกาศของญี่ปุ่นในครั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นการส่งยานอวกาศของโครงการสำรวจดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดรองจากโครงการอะพอลโลของสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญต่อการให้ความร่วมมือ และมีส่วนร่วมกับนานาชาติ เกี่ยวกับภารกิจในการสำรวจอวกาศ อาทิ ญี่ปุ่นได้ส่งนักบินอวกาศเข้าร่วมในภารกิจของ SpaceX เพื่อมุ่งสู่สถานีอวกาศนานาชาติเป็นครั้งแรก และยังมีแผนที่จะเข้าร่วมภารกิจกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) เพื่อส่งนักบินอวกาศของญี่ปุ่นขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ในอนาคตอีกด้วย นี่ก็เป็นความพยายามของญี่ปุ่นในการสื่อสารเรื่องของความโดดเด่นในด้านเทคโนโลยี งานวิจัย และการพัฒนาด้านอวกาศ ซึ่งทางทีมนโยบายของประเทศได้วางเรื่องเหล่านี้เอาไว้เป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศญี่ปุ่น ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของทรัพยากรบุคคล และความเจริญทางอุตสาหกรรมที่พัฒนามาจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว
มากันที่ประเทศไทยของเราบ้าง เพิ่งเป็นประเด็น Talk of The Town ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ออกมาประกาศว่า ทางรัฐบาลมีแผนจะส่งยานอวกาศที่ทำขึ้นจากคนไทยขึ้นไปสู่ระบบวงโคจรของดวงจันทร์ ในเวลา 7 ปี เพื่อแสดงให้ทั่วโลกเห็นถึงความสามารถทางด้านเทคโนโลยี และศักยภาพของคนไทย
แน่นอนว่า ในกระแสของสังคมมีทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ ว่ากันไปถึงเรื่องของค่าใช้จ่ายที่สูง กับสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว สำหรับบางท่านที่คิดว่ายังไม่ถึงเวลา ส่วนบางท่านก็รู้สึกฮึกเหิมไปกับ “ทัศนคติแห่งความหวัง” ที่หลายประเทศในอดีตใช้เป็นกลยุทธ์ในการสร้างชาติให้พัฒนาไปในแบบก้าวกระโดด ซึ่งโดยส่วนตัว ขอไม่ลงความเห็นในเรื่องของความควรหรือไม่ในการไปสู่ดวงจันทร์ (ในช่วงเวลานี้) แต่สิ่งที่เห็นควรว่าดีคือ วิสัยทัศน์ในระดับนโยบาย ที่ต้องได้รับการนำเสนอออกมาเพื่อการ“ตกผลึก” ร่วมกันแบบนี้ ส่วนจะดีหรือไม่ดี เดี๋ยวสังคมมีคำตอบให้เอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี