ก็ต้องสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ประชาชนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ยังคงอยู่ในความสับสนเกี่ยวกับ “ทฤษฎีโอมิครอน” ของนักวิชาการด้านไวรัส และการระบาดวิทยาหลายท่าน ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อกลายพันธุ์ตัวล่าสุดของไวรัสโควิด-19 ว่าจะเป็นหนทางกลับสู่ความเป็นปกติของมนุษย์อีกครั้ง หรือจะตีความชัดๆ ได้ว่าโควิด-19 ที่อาละวาดมากว่า 2 ปีจะกลายเป็น “โรคประจำถิ่น” ในไม่ช้านี้
นั่นหมายความว่า โควิด-19 จะมีสถานะเป็นโรคที่เกิดขึ้นตามปกติ มีขอบเขตของการเกิดขึ้นชัดเจน ทั้งในเรื่องของพื้นที่ ฤดูกาล รวมไปถึงจำนวนของการติดเชื้อ ตามแต่ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และระบบสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่ กระนั้น ในบางช่วงก็อาจมองว่าเป็นการกลับมาระบาดได้ เนื่องจากมีอัตราการติดเชื้อที่มากผิดปกติ แต่ก็ต้องย้ำว่า สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้เหมือนโรคทั่วไป ที่มีระบุไว้ในข้อมูลสาธารณสุขของโลก ซึ่งในทางกลับกัน ก็อาจไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเลยติดต่อกันนานหลายปี (ยกตัวอย่าง คือ ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้เลือดออก เป็นต้น)
ล่าสุด สหราชอาณาจักรพบการติดเชื้อ 1.7 แสนคนต่อวัน และส่วนใหญ่จะเป็นโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่ในตอนนี้น่าจะกลายเป็นโควิด-19 สายพันธุ์หลักในหลายประเทศทั่วโลกไปแล้ว ซึ่งทางสำนักงานสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจ อันได้ศึกษามาจากการระบาดครั้งล่าสุดนี้ว่าพบคนที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนน้อยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับคนที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ที่มีอาการป่วยรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล และวัคซีนสามารถลดการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19สายพันธุ์โอมิครอนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ตามรายงานข่าวที่นำมาอ้างอิงนี้ได้เชื่อมโยงข้อมูลที่พบดังกล่าว ว่าตรงกับผลการศึกษาการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ ในแอฟริกาใต้ เดนมาร์ก และอีกหลายประเทศในยุโรป แต่ข้อสันนิษฐานในประเด็นความรุนแรงของอาการจากโอมิครอนที่มีไม่มาก และไม่สร้างภาระที่แออัดให้กับระบบของสาธารณสุขในประเทศที่ทำการสำรวจนั้นก็ถูกตั้งคำถามถึงการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อกลายพันธุ์ดังกล่าวนี้แม้จะมีจำนวนที่น้อยมากก็ตาม เมื่อเทียบกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ในสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ (อัลฟ่า เดลต้า ฯลฯ) ที่สำคัญ รัฐมนตรีสาธารณสุขแห่งสหราชอาณาจักร “ซาจิด จาวิด” ก็แสดงความกังวลหลังจากพบข้อมูลว่า จำนวนคนที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในตอนนี้ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วงต่ำกว่า 45 ปีนั่นหมายความว่า ยังไม่เกิดการระบาดในกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้น ถ้าเกิดการระบาดในกลุ่มคนผู้สูงอายุขึ้นมา อาจมีตัวเลขการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ หรือไม่ และระบบสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่จะเข้าสู่ภาวะแออัดอีกครั้งไหม ซึ่งตรงนี้ทางสหราชอาณาจักรก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ นอกจากการเฝ้าระวัง และวิงวอนให้ประชาชนไม่ประมาท
แต่หลังปีใหม่เป็นต้นมา (อันที่จริงก็ต้องบอกว่า ตั้งแต่เทศกาลคริสต์มาสแล้ว) ประเทศในเครือสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะที่อังกฤษ ก็เหมือนว่าจะวางใจต่อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ปล่อยให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตแทบจะเป็นปกติกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการขอความร่วมมือในการเว้นระยะห่างออกมากำกับก็ตาม แต่โดยทั่วๆ ไป แค่มีข้อมูลการฉีดวัคซีน และผ่านการตรวจแบบ ATK (Antigen Test Kit) แล้วไม่พบเชื้อ ก็สามารถเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ ในประเทศได้ ไม่ว่าจะมีการรวมกลุ่มกันแค่ไหน หรือแออัดเบียดเสียดกันมากเท่าไหร่ก็ตาม ซึ่งสำหรับแฟนฟุตบอลสโมสรของอังกฤษน่าจะทราบดี เพราะการถ่ายทอดเกมกีฬาดังกล่าวได้ส่งออกไปทั่วโลก และกองเชียร์เกือบทั้งหมดในสนาม ก็ไม่มีการป้องกันโควิด-19 ขั้นพื้นฐานให้ตัวเองเลย (ใส่หน้ากากอนามัย) แถมยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงเวลาแสดงความดีใจออกมาอย่างสนุกสนาน แม้ว่าจะมีรายการการติดเชื้อของนักเตะในสโมสรฟุตบอลออกมาเป็นระยะๆ ก็ตาม
จึงน่าจะบอกได้อย่างเต็มปากว่า ตอนนี้อังกฤษกลับสู่ความเป็นปกติแล้ว และโอมิครอนเป็นคำตอบสำหรับพวกเขาโดยเมื่อวันที่ 19 มกราคม (2022)ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ “บอริสจอห์นสัน” ได้ประกาศยกเลิกข้อบังคับการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การทำงานจากบ้าน และการใช้พาสปอร์ตโควิด ด้วยเหตุผลที่ให้ว่า การระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดทั่วประเทศแล้ว
“อังกฤษจะยกเลิกการใช้มาตรการรับมือโควิดตามแผนบี (Plan B) แล้วกลับไปใช้แผนเอ (Plan A) หลังรัฐบาลฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกันโควิดได้ครอบคลุม และประชาชนปฏิบัติตามมาตรการเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้ประกาศยกเลิกคำแนะนำให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้าน โดยให้มีผลทันที และยกเลิกข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยในโรงเรียนตั้งแต่ 20 ม.ค. ส่วนข้อบังคับการสวมหน้ากากในที่สาธารณะอื่นๆ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 27 ม.ค. อย่างไรก็ตาม ทางการยังคงแนะนำการสวมหน้ากากในพื้นที่ปิดที่มีคนหนาแน่น และโดยเฉพาะเมื่อพบปะกับคนแปลกหน้าต่อไป
ส่วนมาตรการอื่นๆ ก็จะสิ้นสุดลงในวันที่ 27 ม.ค. นั้น เช่น การใช้พาสปอร์ตโควิดเพื่อเข้าไนต์คลับ และงานชุมนุมขนาดใหญ่ แต่ผู้จัดงานยังสามารถที่จะเลือกบังคับใช้บัตรผ่านโควิด (Covid pass) ของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NationalHealth Service หรือ NHS) ต่อไปได้และในเร็ววันนี้ รัฐบาลยังมีแผนจะยกเลิกข้อกำหนดตามกฎหมายที่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องกักตัว โดยหลังจากกฎข้อบังคับต่างๆ ว่าด้วยการกักตัวของผู้ติดโควิด-19 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันหมดอายุลงในวันที่ 24 มี.ค. ที่จะถึงนี้ เราจะไม่ต่ออายุข้อกำหนดเหล่านี้ หรืออาจเร่งวันสิ้นสุดของข้อบังคับนี้ให้เร็วขึ้น และรัฐบาลจะกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้อโควิด-19เพื่อที่จะไม่ต้องใช้มาตรการควบคุมทางสังคม เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคนี้ต่อไปอีกในอนาคต”
หลังการประกาศของนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเกิดขึ้น โลกจับจ้องมาที่อังกฤษด้วยคำถามที่คล้ายกันว่า เราจะกลับสู่ปกติได้จริงหรือ ด้านหนึ่งเห็นด้วยและมองว่า โอมิครอนคือกุญแจไขประตูนั้น (ตามเหตุผลที่ให้ไปในช่วงต้นของบทความ) แต่อีกด้านก็แสดงความไม่สบายใจ และห่วงว่า ความเสียหายจะเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ ถ้าโลกตกอยู่ในความชะล่าใจ เพราะข้อมูลเกี่ยวกับโอมิครอน ณ ตอนนี้ ยังไม่เข้มข้นพอถึงขนาดที่ปล่อยให้เกิดเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ตามธรรมชาติ หรือเร่งให้กลายเป็นโรคประจำถิ่นโดยเร็วได้ และอาจให้ผลในทางที่กลับกัน ซึ่งอาจเป็นลบต่อระบบสุขภาพของมนุษย์เพิ่มขึ้น ก็มีความเป็นไปได้
“โอมิครอนจะเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์สุดท้าย และทุกอย่างจะจบลงหลังจากนี้ นั่นไม่จริง เพราะไวรัสนี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงทั่วโลก ที่สำคัญ กลุ่มคนเปราะบางกำลังตกไปสู่อาการป่วยหนัก และเสียชีวิต ดังนั้น มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องลดความกดดันต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะในประเทศต่างๆ ที่ยังคงฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนในระดับต่ำ นี่จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาผ่อนคลายมาตรการทางด้านสาธารณสุข และการปล่อยให้เกิดการแพร่ระบาดในระดับสูง ก็ทำให้ไวรัสมีโอกาสมากขึ้น ที่จะแบ่งตัว และกลายพันธุ์ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา” นายทีโดรส อัดฮานอม กีเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO)
ท้ายที่สุด ก็หวังว่า คำถามที่เป็นชื่อบทความ จะได้รับการเฉลยในเร็ววันพร้อมความปลอดภัยทางสุขภาพ สำหรับประชาชนทุกคนบนโลกใบนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี