มรดกบาปจากโครงการจำนำข้าว ยังตามหลอกหลอนไม่จบสิ้น
1.เมื่อวานนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 6 พ.ค.นี้ ตนจะนำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์
สื่อมวลชน และผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมประมูลข้าวในโครงการรับจำนำข้าว เพื่อร่วมกันประเมินและตรวจสอบคุณภาพของข้าวในโกดังว่าเสียหายหรือไม่ โดยจะตรวจสอบในส่วนของตรงกลางกองข้าวด้วย เพื่อให้ทุกคนได้สิ้นสงสัยอันเป็นที่สุด
จากนั้น คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลข้าวได้เร็วที่สุดภายในเดือน พ.ค.2567
คลังสินค้าที่จัดเก็บข้าวในโครงการรับจำนำข้าว คือ บจก.พูนผลเทรดดิ้งหลัง 4 อ.เมือง จ.สุรินทร์ ปัจจุบันมีข้าวคงเหลือ 32,879 กระสอบ
และคลังกิตติชัยหลัง 2 อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ปัจจุบันมีข้าวคงเหลือ 112,711 กระสอบ
นายภูมิธรรมกล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะเปิดให้ทุกส่วนที่สนใจ เข้าร่วมตรวจสอบพร้อมกันกับเซอร์เวเยอร์ รวมทั้งร่วมกันประเมินราคา เพื่อที่จะนำมาพิจารณาในเรื่องการกำหนดเงื่อนไขในการเปิดประมูลข้าวลอตดังกล่าว ให้มีความรัดกุมเกิดความเป็นธรรม และมีความเหมาะสม เพราะข้าวดังกล่าวไม่ใช่ข้าวเน่าคนสามารถทานได้ แม้จะเก็บมาเป็นเวลา 10 ปี โดยหากบุคคลใดเกิดข้อสงสัยก็สามารถโต้แย้งได้
2.คำถามที่น่าคิดประการแรก คือ กระทรวงพาณิชย์ควรเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนด้วยว่า ข้าวในโกดังเหล่านี้ เคยถูกดำเนินคดีอะไรหรือไม่? เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า จะไม่มีแรงจูงใจให้ใครแอบนำข้าวใหม่มาสวมแทนข้าวเก่าที่อาจจะหายไป หรือถูกตรวจสอบก่อนหน้านี้ มิฉะนั้น จะเสมือนหนึ่งขายเพื่อฟอกขาว
ประการต่อมา ขอแนะนำให้รัฐมนตรีพาณิชย์นำข้าวลอตที่เก็บมา 10 ปีดังกล่าว หุงหา และห่อมาให้รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้กินให้เต็มที่
จัดส่งไปให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์กินด้วย กินจริงๆ
เอาสักหนึ่งเดือน
เชื่อแน่ว่า ถ้ายอมกินทุกมื้อเป็นเวลา 1 เดือน จะมีคนพร้อมจ่ายค่าข้าวให้กินฟรีด้วย
แถมพิสูจน์สิ้นสงสัยเลยว่า ข้าวนั่นกินได้ โดยไม่มีอันตราย เอามั้ย?
3.ปัจจุบัน รัฐบาลยังติดค้างภาระชดเชยแก่ ธ.ก.ส. จากการดำเนินโครงการจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ประมาณ 2 แสนล้านบาท
หากสามารถประมูลข้าวที่เก็บมากว่า 10 ปี ได้เงินกลับคืนมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
จะได้มีเงินจากการขายข้าวไปคืน ธ.ก.ส.เสียบ้าง
ไม่เช่นนั้น รัฐบาลก็ต้องตั้งงบประมาณแผ่นดินชดใช้คืน ธ.ก.ส.
แต่เจตนาพิเศษที่อาจแฝงเร้นอยู่สำหรับเรื่องนี้ คือ การพยายามจะสร้างกระแสว่า โครงการจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์ไม่ได้สร้างความเสียหาย เพราะข้าว
ที่เก็บไว้ก็ไม่เสียหาย แต่โครงการถูกใส่ร้ายทางการเมือง ยิ่งลักษณ์ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง แถมยังอาจจะโยนขี้ให้แก่การขายข้าวในยุครัฐบาล คสช.ได้อีกด้วย
4.ข้าวที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์รับมาจากชาวนา ผ่านโครงการจำนำข้าวนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เคยประมูลขายเลย
มีแต่อ้างว่าจะขายจีทูจี ราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาด และต่ำกว่าราคาที่รับซื้อมา
นั่นทำให้โครงการขาดทุนมากกว่าที่ควรจะเป็น
เอกชนรายใดอยากได้ข้าว ก็ต้องไปติดต่อกับคนของเสี่ยเปี๋ยง จ่ายแคชเชียร์เช็ค เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ใช่ขายข้าวจีทูจี
อาศัยสัญญาที่อ้างว่าเป็นจีทูจีบังหน้า ให้ขบวนการงาบข้าว เอาไปทำมาหากินกันก็เท่านั้นเอง
ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เกิดภาระทางการคลังที่รัฐบาลชุดต่อๆ มา ต้องใช้เงินแผ่นดินไปจ่ายชดเชยภาระหนี้สินจากโครงการจำนำข้าว จนถึงปัจจุบัน
5.ก่อนหน้านี้ ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว อดีตนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยชี้แจงในสภาว่า โครงการจำนำข้าวในอดีตสร้างภาระหนี้ไว้ 957,000 ล้านบาท
โดยรัฐบาลลุงตู่ใช้หนี้ไปแล้วกว่า 6.6 แสนล้านบาท (ทั้งระบายข้าวใช้หนี้ และตั้งงบประมาณใช้หนี้)
ตราบใด ถ้ายังไม่สามารถระบายข้าวหมดเสียที ก็จะมีภาระค่าใช้จ่ายค่าเช่าโกดัง ค่าเก็บรักษาข้าว ฯลฯ
6.กรณีคดีของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นักการเมืองลิ่วล้อตระกูลชินวัตรพยายามจะบิดเบือนฟอกขาวให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์
มั่วอ้างว่าศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้
ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวนกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
บิดเบือนว่า ยิ่งลักษณ์ไม่มีความผิด ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ไม่ต้องรับโทษจำคุก 5 ปีแล้ว
ปั่นกระแสแบบหน้าไม่อายว่า โครงการจำนำข้าวไม่มีการทุจริต ที่ผ่านเป็นการปั้นเรื่องใส่ร้าย ฯลฯ
ในความเป็นจริง ศาลปกครองกลางพิพากษาคดียังไม่ถึงที่สุด และนั่นเป็นเรื่องค่าสินไหมทดแทน
ส่วนคดีความผิดทางอาญา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี ไปก่อนหน้านี้ (คดีถึงที่สุดแล้ว)
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.22/2558 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต แม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ เช่น การสวมสิทธิ์การรับจำนำ, การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์, ข้าวสูญหาย, การออกใบประทวนให้ชาวนาอันเป็นเท็จ, การใช้เอกสารปลอม, การโกงความชื้นและน้ำหนัก เพื่อกดราคารับซื้อจากชาวนา, ข้าวสูญหายจากโกดัง, ข้าวเสื่อมสภาพ, ข้าวเน่าและข้าวไม่ตรงตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีรายงานจากการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศรวม 105 คดี แต่เป็นความเสียหาย
ที่เกิดจากฝ่ายปฏิบัติ จำเลยในฐานะประธาน กขช.ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ อีกทั้งเมื่อพบความเสียหายดังกล่าวในขณะดำเนินโครงการก็ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันความเสียหายแล้ว กรณีความเสียหายในส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ
แต่ในกรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ในสัญญา 4 ฉบับ พบว่า มีการแก้ไขสัญญาในยุคที่มีนายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายบุญทรงเตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าวและยังทำในรูปแบบซื้อขายหน้าคลังสินค้า ซึ่งไม่ใช่การซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ และยังใช้สกุลเงินบาทในการซื้อขาย ซึ่งเป็นพิรุธ ประกอบกับไม่พบว่ามีการส่งข้าวไปยังจีน แต่ในสัญญากลับระบุการซื้อขายข้าวนับล้านตัน ทั้งที่มีการนำข้าวออกไม่เท่ากับที่สัญญาระบุไว้ และเป็นการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ทำให้เอกชนได้รับประโยชน์จากส่วนต่างในราคากว่า 3 พันบาทต่อตัน โดยยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทเอกชนในกลุ่มของ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ที่มีความสนิทกับนายทักษิณ พี่ชายของจำเลย ก็ได้รับประโยชน์จากพฤติการณ์ที่สมอ้างว่าสัญญาระบายข้าวเป็นแบบรัฐต่อรัฐ
“...สําหรับความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนระบายข้าวโดยการแอบอ้างทําสัญญาขายแบบรัฐต่อรัฐข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จําเลยรับรู้จากการแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การตั้งกระทู้ถามสดกระทู้ทั่วไป การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของฝ่ายข้าราชการการเมือง และข่าวสารจากสื่อมวลชน
ยิ่งกว่านี้ ก่อนเริ่มโครงการรับจํานําข้าว ทั้งสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินสํานักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งเตือนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การนําเอานโยบายรับจํานําข้าวไปดําเนินการปฏิบัตินั้นจะมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ ให้จําเลยทราบเป็นระยะๆ แต่จําเลยกลับไม่ได้ติดตามกํากับดูแล อย่างใกล้ชิด
...ในส่วนการระบายข้าว ที่แอบอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐก็เช่นเดียวกัน จําเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้งการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อนก็ย่อมกระทําได้ตามอํานาจหน้าที่ แต่จําเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลและประธาน กขช. ซึ่งมีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกํากับดูแล การปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ทั้งมีอํานาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในการกํากับดูแล การระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอน การระบายข้าว
แต่จําเลยกลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออก โดยแจ้งชัดอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ นายบุญทรง กับพวกแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจํานําข้าว โดยการแอบอ้างนําบริษัท GSSG และบริษัท Hainan grain เข้ามาทําสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ข้าวส่วนต่าง จากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย ๔ ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศและเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง
ถือได้ว่าเป็นการกระทําทุจริตต่อหน้าที่ในความหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ ซึ่งบัญญัติให้ ความหมายคําว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” คือ การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่า มีตําแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบสําหรับตนเองหรือผู้อื่น
ดังนั้น การกระทําของจําเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ หรือผู้หนึ่ง
ผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑...”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี