หอการค้าไทย หอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้า 54 สมาคม แสดงจุดยืนคัดค้านนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ
ชี้ว่า จะสร้างวิกฤต กระทบต้นทุนผลิต ขนส่ง บริการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ใช้แรงงานเข้มข้น จะปรับตัวไม่ทัน ส่อหยุด ลดขนาดกิจการ และเลิกจ้างแรงงาน
ขณะที่รัฐบาลจะเดินหน้าตามแผนขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้งประเทศเป็น 400 บาท เริ่มมีผล 1 ต.ค.นี้
1. กลุ่มใช้แรงงานเข้มข้นตายก่อน
สมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ขอแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย และขอคัดค้านนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
แต่ยังคงสนับสนุนให้รัฐบาลพิจารณานโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีตามหลักกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ตามที่คณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ต้องศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่น
โดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความสามารถของประเภทธุรกิจตามที่กฎหมายกำหนด ผ่านระบบและกลไกการพิจารณาศึกษาของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เพื่อปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีให้เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
“การที่รัฐบาลจะปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ เกินกว่าพื้นฐานสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคม
จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และต้องยอมรับว่าแต่ละจังหวัด แต่ละประเภทธุรกิจ มีความพร้อมของสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน
การปรับอัตราค่าจ้างที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนการขนส่ง ต้นทุนการบริการ และต้นทุนการจ้างงานทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน
โดยเฉพาะภาคเกษตร ภาคการค้าและบริการ ภาคท่องเที่ยว และผู้ประกอบการ SME เนื่องจากผู้ประกอบการจะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
ดังนั้น การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่คำนึงตามที่กฎหมายกำหนดจะส่งผลให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการ หรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานเพื่อลดต้นทุนให้อยู่รอดตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น” - นายพจน์กล่าว
2. ข้อเสนอทางออก
หอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ได้นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอต่อนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาล ดังนี้
(1) หอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น เห็นด้วยกับการมุ่งมั่นตั้งใจยกระดับรายได้เพื่อแรงงานไทยในประเทศไทยและวิถีชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น
แต่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีควรปรับตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
ส่วนการยกระดับรายได้ลูกจ้างให้สูงขึ้น ก็สามารถทำได้โดยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ซึ่งกฎหมายบัญญัติกำหนดไว้แล้วเช่นกัน
(2) ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี)
อีกทั้ง ปัจจุบัน รัฐบาลได้ดำเนินการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2567ไปแล้ว 2 ครั้ง จึงไม่ควรมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี เป็นครั้งที่ 3
(3) อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพียงอัตราค่าจ้างของแรงงานแรกเข้าที่ยังไม่มีฝีมือ
แต่การปรับอัตราจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน
ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมาตรการทางภาษี ลดอุปสรรคต่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและแรงงาน ให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)
(4) การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็น และศึกษาถึงความพร้อมของแต่ละพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ
รวมทั้งควรให้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจก่อนปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจดังกล่าว
3. หากเดินหน้าขึ้นค่าแรง 400 บาท หอการค้าส่อใช้สิทธิดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า
“หากรัฐบาลยืนยันที่จะให้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงกระบวนการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตัวเลขการปรับที่เหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางที่ได้รับการยอมรับมาโดยตลอดจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ว่ามีความยุติธรรมกับผู้ที่มีส่วนได้เสีย ซึ่งนำไปสู่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแบบยั่งยืน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ตามมาในอนาคต ดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ผ่านกลไกการทำงานร่วมกันของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี)
ภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ จำเป็นที่จะต้องรักษาสิทธิในการดำรงไว้ของหลักนิติธรรม (The Rule of Law) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกภาคเอกชนที่มีส่วนได้เสียในการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวต่อไป”
แปลความหมายง่ายๆ คือ เตรียมจะสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลนั่นเอง
ดูท่าจะไม่จบง่ายๆ
นี่ขนาดทยอยปรับขึ้นค่าแรงบางกลุ่มก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ประกาศขึ้นพรวดเดียวทันที
น่าสงสัยว่า ถ้าเอาตามพรรคฝ่ายค้านหาเสียงไว้ ยิ่งหนักกว่านี้ เพราะจะต้องขึ้นค่าแรงสูงกว่านี้อีก
4.สำหรับหอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้า 52 สมาคม ที่คัดค้านนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศตามขั้นตอนกฎหมาย ประกอบด้วย
หอการค้าจังหวัด ได้แก่ 1.หอการค้าภาคเหนือ 17 จังหวัด 2.หอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด 3.หอการค้าภาคกลาง 17 จังหวัด 4.หอการค้าภาคตะวันออก 8 จังหวัด 5.หอการค้าภาคใต้ 14 จังหวัด
สมาคมการค้า ได้แก่ 1.สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย 2.สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย 3.สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย 4.สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย 5.สมาคมยางพาราไทย 6.สมาคมน้ำยางข้นไทย 7.สมาคมธุรกิจไม้ 8.สมาคมเฟอร์นิเจอร์ไทย 9.สมาคมการค้าของเล่นและผลิตภัณฑ์เด็กไทย 10.สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ 11.สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร12.สมาคมการค้านวัตกรรมการพิมพ์ไทย 13.สมาคมโรงแรมไทย 14.สมาคมผู้ค้าปลีกไทย15.สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย 16.สมาคมหินอ่อนและแกรนิตไทย 17.สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน 18.สมาคมอาคารชุดไทย 19.สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย20.สมาคมการค้าผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันพลังไทย 21.สมาคมผู้ผลิตสีไทย22.สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย 23.สมาคมการค้าเครื่องกีฬา 24.สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย 25.สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ26.สมาคมตลาดสดไทย 27.สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป 28.สมาคมกุ้งไทย29.สมาคมอุตสาหกรรมนมและอาหาร 30.สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย 31.สมาคมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอาเซียน 32.สมาคมภัตตาคารไทย 33.สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย 34.สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน 35.สมาคมบรรจุภัณฑ์ไทย 36.สภาองค์การนายจ้างธุรกิจไทย 37.สมาคมรักษาความปลอดภัยภาคพื้นเอเชีย (APSA) 38.สมาคมสภารักษาความปลอดภัย 39.สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทย 40.สมาคมผู้บริหารงานรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทย 41.สมาคมสหพันธ์ธุรกิจรักษาความปลอดภัย 42.สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพรักษาความปลอดภัยภาคเหนือ 43.สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยภาคเหนือ 44.สมาคมผู้บริหารงานรักษาความปลอดภัยภาคตะวันออก 45.สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัย (ภาคอีสาน) 46.สมาคมอารักขาบุคคลสำคัญ 47.สมาคมบริหารงานรักษาความปลอดภัยไทย 48.สมาคมการค้าธุรกิจคุ้มกันภัย 49.สหพันธ์นายจ้างวิชาชีพรักษาความปลอดภัย 50.ชมรมครูฝึกรักษาความปลอดภัยไทย 51.ชมรมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 52.ชมรมบริษัทรักษาความปลอดภัยพันธมิตร (ภาคใต้) 53.ชมรมพันธมิตรธุรกิจรักษาความปลอดภัย 54.กลุ่มพัฒนาวิชาชีพรักษาความปลอดภัย
5.อย่างไรก็ตาม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เปิดเผยว่า การจะขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค. 2567จะต้องทำให้ได้
“...ตั้งแต่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ในครั้งแรกได้มีการหารือผู้ประกอบการในหลายภาคส่วน ซึ่งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีค่าแรงขั้นต่ำที่เกินกว่า 400 บาทไปแล้ว
แต่จะมีความกังวลในส่วนของ SME ที่อาจจะมีผลกระทบพอสมควร โดยวันที่ 13 พ.ค.นี้ จะมีการหารือกับสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการอีกหลายสาขาอาชีพ นายกสมาคม SME ว่าอยากให้ทางรัฐบาลช่วยอะไร
...เราจะค่อยๆ ประชุม และค่อยๆ คุยไปทีละสาขาอาชีพ เพราะตอนนี้เราทำรีเสิร์ชทีเดียวทั้งระบบไม่ทัน
อะไรที่กระทรวงแรงงานทำได้ก็จะทำให้เลย แต่หากทำไม่ได้ก็จะไปขอความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” - รมว.แรงงาน กล่าว
ล่าสุด นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ยังได้ให้กำลังใจกระทรวงแรงงานในการเดินหน้าขึ้นค่าแรงด้วย
น่าสนใจว่า ภาครัฐและเอกชน จะหาจุดลงตัวกันได้หรือไม่ อย่างไร
เพราะอย่าลืมว่า เงินค่าแรงนั้น ล้วงจากกระเป๋าเอกชน
ถ้าเอกชนอยู่ไม่ได้ ก็กอดคอกันตาย
ตรงกันข้าม ถ้าเป็นตามพรรคฝ่ายค้านหาเสียงไว้ ยิ่งหนักกว่านี้อีก !
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี