สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อยู่ในโหมดหยุดยิง
โดยที่ฝ่ายกัมพูชา มีพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือ ไว้ใจไม่ได้ เพราะละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง
แถมการเจรจาที่มีประธานอาเซียนเป็นผู้อำนวยความสะดวกที่ประเทศมาเลเซีย มีสหรัฐและจีนร่วมสังเกตการณ์ ก็สุ่มเสี่ยงว่าหลังจากนี้ ประเทศมหาอำนาจจะใช้ไทย-กัมพูชา เป็นพื้นที่สงครามตัวแทน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในภูมิภาคอื่น เช่น ตะวันออกกลาง ฯลฯ อันจะทำให้เกิดสงครามยืดเยื้อ รุนแรง ขยายขอบเขตออกไป หรือไม่?
เพราะประธานาธิบดีสหรัฐได้นำเรื่องภาษีนำเข้ามาข่มขู่ให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงกันแล้วรอบหนึ่ง หลังจากนี้ จะมาในรูปแบบใดๆ และจะเอาประโยชน์อะไรจากความขัดแย้งนี้อีกต่อไป
อย่าลืมว่า สหรัฐมียุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่มุ่งความสำคัญมาที่ย่านอินโดจีนอย่างมาก ตามภูมิรัฐศาสตร์โลก
แถมล่าสุด ท่าทีของกัมพูชา เล่นสองหน้า ส่อทรยศหักหลังจีน โดยอ้าขาผวาปีก ชื่นชมสรรเสริญประธานาธิบดีสหรัฐ โดยกระทรวงข่าวสารถึงกับรวมข่าวสรรเสริญทรัมป์ขึ้นเว็บทางการกัมพูชา
ชาวโซเชียลกัมพูชาถึงกับเชิญสหรัฐเข้าไปตั้งฐานทัพในกัมพูชา !!!
ไทยต้องเตรียมรับมือกับอะไร หากหลังจากนี้ ภัยคุกคามความมั่นคงมาในร่างอวตาร ที่ใหญ่และหนักหน่วงกว่าเดิม
1. สถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต
ดร.สุวินัย ภรณวลัย ฉายภาพให้เห็นความเป็นไปได้ ภูมิทัศน์ปัญหาความมั่นคง หลังจากนี้
ว่าด้วยเรื่อง “ระวังเกมของกัมพูชาที่ “เหมือนแพ้แต่ชนะ” : เมื่อชัยชนะในสนามรบอาจถูกลบล้างบนโต๊ะเจรจา”
ระบุว่า
“1. ชัยชนะที่อาจกลายเป็น “ภาพลวงตา”
ศึกละแวก 5 วันที่ผ่านมา กองทัพไทยยึดคืนพื้นที่ที่กัมพูชารุกล้ำได้ครบทั้ง 11 จุด—จากภูมะเขือ ถึงเขาพระวิหาร-พร้อมยับยั้งการก่อหวอดในจันทบุรี–ตราด
กองทัพเขมรถูกบั่นขวัญกำลังใจ แม้หน่วยคุ้มกันพิเศษ BHQ ที่โด่งดังของฮุนเซนก็ยังเสียหายหนักในสมรภูมิ
นี่คือชัยชนะที่ชัดเจนในเชิงยุทธวิธี
แต่สงครามสมัยใหม่ไม่ได้จบแค่เสียงปืน หากจบที่ โต๊ะเจรจา และ เรื่องเล่า (Narrative) ในเวทีระหว่างประเทศ
ซึ่งคือจุดที่ฮุนเซนและที่ปรึกษาตะวันตกของเขาเชี่ยวชาญที่สุด
2. เกมของฮุนเซน : แพ้สนามรบ ➝ ชนะโต๊ะเจรจา
การบุกยึดพื้นที่ชายแดนตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพื่อยึดครองถาวร แต่เพื่อสร้าง ข้ออ้างกรรมสิทธิ์ ในช่วงเจรจา Joint Border Committee ที่จะตามมา
เป้าหมายลึกคือการลากเส้นพรมแดนใหม่เพื่อเชื่อมโยงสู่ แหล่งพลังงานรอบเกาะกูด—ทรัพย์สินมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ที่สหรัฐและฝรั่งเศสรออยู่เบื้องหลัง
แม้กองทัพไทยจะทวงพื้นที่คืนได้ทั้งหมด ฮุนเซนก็ยังสามารถลากไทยเข้าสู่โต๊ะเจรจาในมาเลเซีย โดยมีมหาอำนาจและอาเซียนร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งสร้างภาพว่า นี่ไม่ใช่ศึกท้องถิ่น แต่เป็นปัญหาภูมิภาค
ผลลัพธ์ : กัมพูชาที่แพ้ทางทหารกลับได้สถานะ “คู่เจรจาที่เท่าเทียม” บนโต๊ะการทูต
3. บทเรียนจาก “เขาพระวิหาร”
ไทยเคยเจ็บมาแล้วในกรณีเขาพระวิหาร—ชนะทางภูมิศาสตร์แต่แพ้ทางกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะ คำตัดสินที่คลุมเครือ เปิดช่องให้กัมพูชาได้สิทธิครอบครองตัวปราสาท
ครั้งนี้ก็อาจซ้ำรอย : การเจรจาครั้งต่อไป (4 สิงหาคม) มีแนวโน้มจะสร้าง “ข้อตกลงประนีประนอม” ที่มาพร้อมการตีความเส้นเขตแดนใหม่และการแบ่งผลประโยชน์พลังงาน ซึ่งไทยอาจเสียมากกว่าที่คิด
4. เกมสหรัฐ : ชุบมือเปิบและปิดล้อมจีน
การแทรกแซงของโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อผลักดันการหยุดยิง ไม่ใช่เรื่องเมตตาธรรม แต่คือการ
(1) ตัดหายนะที่จะเกิดกับกัมพูชา (และลูกข่ายทางเศรษฐกิจที่โยงกับไทยเอง)
(2) อ้างเครดิต “สันติภาพ” เพื่อชิงรางวัลและอำนาจต่อรอง
(3) ปูทางตั้งฐานทัพและสกัดอิทธิพลจีนในอินโดจีน
สหรัฐได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับที่ทำในตะวันออกกลางและอนุทวีปอินเดีย คือไม่ต้องชนะในสนามรบ แต่ชนะในเกมภูมิรัฐศาสตร์
5. สิ่งที่ไทยต้องระวัง
อย่าให้ชัยชนะในสนามรบถูกลดค่า ด้วยการเจรจาแบบ “คู่เท่าเทียม”
ปฏิเสธกลไกเจรจาที่เปิดช่องให้คนนอกชี้ขาด โดยเฉพาะการตีความเส้นเขตแดนใหม่ที่อาจจงใจให้ “คลุมเครือ”
ควบคุม Narrative ให้สังคมโลกเข้าใจว่า ไทยปกป้องอธิปไตยจากการรุกราน ไม่ใช่คู่ขัดแย้งที่ต้อง “ประนีประนอม”
ตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อนภายใน เพราะกลุ่มทุน–การเมืองบางส่วนอาจพร้อมแลกอธิปไตยเพื่อผลตอบแทนในแหล่งพลังงาน
บทสรุป
ชัยชนะทางทหารจะเป็นเพียง ภาพลวงตา หากไทยยอมให้เกมการเมืองระหว่างประเทศพลิก Narrative และทำให้กัมพูชาที่แพ้กลายเป็น “ผู้ชนะเชิงโครงสร้าง”
นี่คือ เกมที่เหมือนแพ้แต่ชนะ-และไทยต้องตั้งสติ วางยุทธศาสตร์เชิงรุกทั้งใน เวทีการทูต,สื่อระหว่างประเทศ, และการเมืองภายใน เพื่อปิดประตูทุกช่องทางที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเขาพระวิหารอีกครั้ง”
2. ถ้าไทยมีรัฐบาลไม่รักชาติจริง-ชังชาติ จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม
นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ชี้ให้เห็นว่า หากกัมพูชาได้รับการช่วยเหลือทั้งการทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ แล้วกัมพูชายั่วยุทำสงครามกับไทยในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ???
“...ก่อนอื่นผมต้องกำหนดสมมุติฐานว่า ไทยจะต้องมีรัฐบาลและนักการเมืองที่รักชาติจริง ไม่ชังชาติ ไม่มีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรกับกัมพูชาก่อนนะครับ
เมื่อสมมุติฐานเป็นไปตามที่กำหนด ผมมโนคาดประมาณสถานการณ์ว่า
1. กัมพูชาจะฮึกเหิม รุกรบอย่างที่สุด และจะรุกล้ำเอกราชอธิปไตยของไทยตลอดแนวทั้งทางบก-ทางน้ำ เพื่อให้ไทยตอบโต้กลับอย่างรุนแรง สถานการณ์จะยังไม่เกิดในเร็วๆ นี้ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อกัมพูชาพร้อม
2. กัมพูชาจะพร้อมต่อเมื่อได้รับการช่วยเหลือทั้งด้านการทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ทั้งการพัฒนากองทัพอากาศ กองทัพเรือ และกองทัพบกให้มีขีดความสามารถในการรบจากเดิมที่ทำได้แค่สงครามแบบกองโจรซึ่งจะไม่มีวันต่อกรกับไทย กัมพูชาจะมีทหารรับจ้างเช่นเดียวกับยูเครน
3. เมื่อกัมพูชาพร้อมที่จะต่อกรกับไทยก็จะยั่วยุ รุกล้ำเอกราชอธิปไตยของไทยรอบใหม่ ไทยก็จะตอบโต้กลับอย่างเป็นลำดับขั้น ถึงแม้กัมพูชาจะได้รับการช่วยเหลือด้านการทหารจากสหรัฐฯ แต่ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าไทย ก็ยังเป็นการยากที่จะชนะไทย อย่างไรก็ตามไทยจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทั้งด้านการทหารและเศรษฐกิจจากจีนและรัสเซีย เพิ่มเติมด้วยพันธมิตรเพื่อนบ้านอินโดจีน โดยเฉพาะเวียดนาม ลาว เมียนมาด้วย หากไทยไม่ได้รับการช่วยเหลือตามข้อ 3 นี้ ไทยจะลำบากมาก แต่ไทยน่าจะได้รับการช่วยเหลือ โดยเฉพาะจากจีน
4. หากไทยได้รับการช่วยเหลือตามข้อ 3 สงครามไทย-กัมพูชา จะกลายเป็นสงครามตัวแทน(Proxy war) อย่างชัดเจน ในลักษณะเดียวกันกับสงครามอิสราเอล-อิหร่านพร้อมพันธมิตรชาติอาหรับ หรือแม้แต่สงครามยูเครน-รัสเซีย
5. ไทยจะยังคงใช้ยุทธศาสตร์ตั้งรับและตีโต้ตอบ ขณะที่กัมพูชาจะใช้ยุทธศาสตร์รุกล้ำอธิปไตย แต่คราวนี้กัมพูชาจะไม่ใช่กองโจรแล้ว กัมพูชาจะระมัดระวังการใช้ยุทธวิธีทำร้ายพลเรือน แต่ยังคงมีบ้างทั้งจงใจและไม่จงใจเพื่อยั่วยุสงคราม
6. อย่างไรก็ตามกัมพูชาจะต้องยั่วยุให้ไทยปฏิบัติการตีโต้ตอบ โดยเฉพาะการตีโต้ตอบเข้าไปในเขตภายในของเขตสงครามซึ่งลึกจากแนวชายแดนไทยเข้าไปในกัมพูชาอันเป็นที่ตั้งทางทหารซึ่งกองทัพอากาศไทยจะต้องระมัดระวังระบบป้องกันภัยทางอากาศที่กัมพูชาจะมีแสนยานุภาพมากขึ้นจากการได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
7. เมื่อสถานการณ์ความรุนแรงลุกลาม สหรัฐฯ และชาติตะวันตกจะขอให้มีการเจรจาหยุดยิงตามสูตรสำเร็จ แต่จะเป็นเพียงพฤติกรรม “ปากว่า ตาขยิบ” ไม่ได้ต้องการให้หยุดยิงจริง แต่กลับต้องการให้ยิงและถล่มกันอย่างรุนแรงต่อไปเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการอ้างเหตุแห่งการจัดกองกำลังรักษาสันติภาพไทย-กัมพูชา โดยกองทัพชาติมหาอำนาจตะวันตกที่สนับสนุนกัมพูชา
8. เมื่อสถานการณ์ตามข้อ 7 เป็นไปตามแผนแล้ว สหรัฐฯ และพันธมิตรชาติมหาอำนาจจะเคลื่อนกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าสู่กัมพูชาโดยการอ้างเหตุผลเพื่อการสงบศึก
9. กองกำลังรักษาสันติภาพเพื่อสงบศึกนี้จะมีแสนยานุภาพที่เป็นฐานทัพของสหรัฐฯและพันธมิตรในคาบสมุทรอินโดจีนทันที นั่นหมายความยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ณ คาบสมุทร
อินโดจีน ชัดเจนแล้ว
10. อย่างไรก็ตามการจัดกองกำลังรักษาสันติภาพ จีนจะต้องแทรกแซงด้วยการเข้าร่วม หากเป็นไปได้จีนจะต้องพยายามจัดเองเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการมีฐานทัพของสหรัฐฯและพันธมิตรในคาบสมุทรอินโดจีน แต่จีนจะถูกกีดกัน
11. การกีดกันจีนในการจัดกำลังรักษาสันติภาพในข้อ 10 จะทำได้ต่อเมื่อมีการคว่ำบาตรจีนในสหประชาชาติ หากเกิดสถานการณ์สงครามในทะเลจีนใต้ก่อน ซึ่งจะเป็นไปตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ โดยเฉพาะน่าจะเกิดสถานการณ์สงครามจีน-ไต้หวัน, สงครามจีน-ฟิลิปปินส์, สงครามเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ที่มีฐานทัพสหรัฐฯวางกำลังกระจายกันอยู่เพื่อปิดล้อมจีน
12. เมื่อจีนไม่สามารถมีส่วนร่วมในการจัดกองกำลังรักษาสันติภาพ สงครามไทย-กัมพูชา แล้วจีนจะอยู่ในสถานะถูกปิดล้อม กลายเป็นผู้ตั้งรับในทางยุทธศาสตร์ แต่ผมเชื่อว่าจีนจะไม่ยอมอยู่ในสถานะเช่นนั้น
13. จีนจะทำสงครามทางการค้าเพื่อทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้เกิดปัญหาภายในประเทศ เกิดความแตกแยกภายใน ให้ชาวอเมริกันยากลำบากให้มากที่สุด และจะพยายามจัดกลุ่ม BRICS ให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม
14. แต่สงครามการค้าจีน-สหรัฐ ก็ยังคงหนีไม่พ้นสงครามทางทหารอยู่ดี การรบในแต่ละสมรภูมิ จีนจะตั้งรับและตีโต้ตอบเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆแล้วจะปฏิบัติการโจมตีด้วยอาวุธพิสัยไกลเข้าสู่เขตภายในของสหรัฐฯ และนี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่จะถูกโจมตี
15. ขณะเดียวกันรัสเซียจะสนับสนุนจีนด้วยการปฏิบัติการโจมตีด้วยอาวุธพิสัยไกลเข้าสู่เขตภายในของชาติพันธมิตรของสหรัฐฯในยุโรปที่เป็นกลุ่มนาโต [NATO] โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี โปแลนด์ ทั้งนี้ รัสเซียจะมีชาติอาหรับในตะวันออกกลางเป็นพันธมิตรของรัสเซีย รวมถึงอินเดียด้วย
16. สถานการณ์ตั้งแต่ข้อ 12 เป็นต้นมา (หรืออาจจะตั้งแต่ก่อนข้อ 8 เสียด้วยซ้ำ) สถานการณ์โลกจะกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว
17. ไทยจะต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวกับคนในชาติ ไทยจะต้องพึ่งตนเองมากที่สุด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางทหาร อุตสาหกรรมทางการแพทย์
18. สำหรับอุตสาหกรรมทางการแพทย์ซึ่งในสถานการณ์สงคราม เราถือว่าเป็นยุทธภัณฑ์นะครับ โดยเฉพาะยา-เวชภัณฑ์ ที่สหรัฐฯและยุโรปจะระงับการส่งออกให้ไทย ดังเช่นสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่อินโดนีเซียจากการแยกตัวของติมอร์ออกจากอินโดนีเซีย อินโดนีเซียประสบปัญหาขาดยาเพื่อใช้ในการรักษา
19. ดังนั้นไทยจะต้องผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เอง ผลิตยา-เวชภัณฑ์-เครื่องมือแพทย์เอง หรือหาพันธมิตรที่จะเป็นแหล่ง Supply chain ใหม่จากจีน-อินเดีย เพื่อการทดแทนยา-เวชภัณฑ์-เครื่องมือแพทย์ จาก สหรัฐฯ-ยุโรป
20. บุคลากรทางการแพทย์ต้องพิจารณาทบทวนการใช้ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือจากจีน-อินเดีย เสียแต่บัดนี้นะครับ อย่าประมาทครับ
21. อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) , สภาวิชาชีพ ต้องศึกษาแหล่งวัตถุดิบทางการแพทย์ใหม่เพื่อพร้อมรับสถานการณ์สงครามล่วงหน้าด้วยนะครับ เกิดสถานการณ์จริงขึ้นมา คนในชาติจะได้สูญเสียน้อย
... หากไทยยังมีรัฐบาลและนักการเมืองที่ไม่รักชาติจริง ชังชาติ มีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรกับกัมพูชา การคาดประมาณสถานการณ์ข้างต้นก็จะคลาดเคลื่อน หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาติและประชาชนจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้...”
3.สรุป อย่างแรกที่ประเทศไทยจะต้องมีก่อน คือ ผู้นำและรัฐบาลที่รักชาติ ไม่ชังชาติ
ไม่บ่อนทำลายสถาบันสำคัญของชาติ ไม่บ่อนทำลายกองทัพ
ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับอังเคิล ไม่ใช่หุ่นเชิดของสหรัฐแบบพวกที่เชิดชูวัคซีนเทพ
จากนั้น กำหนดทางเดินของประเทศไทย เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของประเทศชาติอย่างแท้จริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี