ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา นำมาสู่การปะทะกันตามแนวชายแดนต่อเนื่อง
ล่าสุด สหรัฐ และจีน ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจรจายุติการสู้รบ
ในส่วนของสหรัฐ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ งัดเอาภาษีโต้ตอบมาขู่ทั้งไทยและกัมพูชาด้วย
ทำให้สถานการณ์สู้รบที่มีผลต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว ผูกเข้ากับภาษีโต้ตอบของสหรัฐที่จ่อจะเริ่มใช้ 36% ในวันที่ 1 ส.ค.นี้แล้วด้วย
1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจการค้า จากสถานการณ์สู้รบกัมพูชา
เที่ยวบินไทย – กัมพูชา ยังปกติ
กระทรวงการท่องเที่ยวฯเชื่อสถานการณ์ชายแดนไม่กระทบท่องเที่ยว ตัวเลขยังเพิ่มต่อเนื่องทะลุ
1 แสนคนต่อวัน
นักวิเคราะห์ชี้เศรษฐกิจกัมพูชาเสี่ยงกระทบมากกว่าไทย หากปะทะชายแดนยืดเยื้อ เนื่องจากมีความเปราะบางมากกว่าไทย และเครื่องมือทางนโยบายน้อยกว่า
กรมบัญชีกลาง ขยายเงินทดรองราชการเพิ่มเติมอีก 100 ล้านบาท ให้ผู้ว่าฯอีก 3 จังหวัด รับมือปัญหาไทย-กัมพูชา
กระทรวงพาณิชย์ อัดมาตรการเยียวยาเกษตรกร ผู้ประกอบการ รับมือผลกระทบชายแดนกัมพูชา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ตามนโยบาย “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย”
2. ภาษีโดนัลด์ ทรัมป์ กับการสู้รบไทย-กัมพูชา
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งสองประเทศที่จะโดนภาษี 36%
ถ้าไทยเราโดน 20% ว่าเหนื่อยแล้ว ถ้าโดน 36% กระทบหนักแน่นอน
คุณกรณ์ จาติกวณิช มองว่า “เกรงว่าเราออกตัวช้าไป เบาไป อาจจะเชื่อ lobbyist ที่จ้างมามากไป เวลานี้เราต้องหวังว่าทรัมป์จะไม่พิจารณาเปรียบเทียบข้อเสนอของเรากับของเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่ได้เสนอเปิดตลาดให้สินค้าอเมริกัน 100% ในอัตราภาษีนำเข้าที่ 0%
ความเสี่ยงวันนี้ คือ อเมริกาอาจเลือกที่จะไม่ตอบรับข้อเสนอรัฐบาลไทยเลย และเดินหน้าเก็บภาษีที่ 36% ตั้งแต่วันศุกร์ที่จะถึงนี้ แล้วค่อยรอให้เรายอมเขาเองภายหลัง
หากเป็นเช่นนี้เราจะได้รับผลกระทบแรงมาก การส่งออกลดลง การลงทุนหาย และการผลิตย้ายไปที่ประเทศเพื่อนบ้านเรา
แต่หากทรัมป์คิดว่าการประกาศสรุปดีลกับเราเป็นผลดีทางการเมืองและเศรษฐกิจให้กับเขา ไทยก็อาจจะโชคดี
ทรัมป์เองมีปัญหาเรื่อง Epstein file อาจจะมองว่าการประกาศดีลการค้าทำให้เขาดูดี
แต่โอกาสสูงที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเราเท่าที่รัฐบาลเราเชื่อ
เขามีภาระสำคัญกว่า เช่น การปิดดีลกับ EU ส่วนไทยในยุคนี้แทบไม่อยู่ในสายตา
หากตัดสินใจเชือดไก่ให้ลิงดูก็ไม่กระทบอะไรกับตัวเขามาก
และวันนี้เรามีเรื่องอยู่กับกัมพูชา อาจจะเป็นการเพิ่มความไม่นอนในแนวทางการตัดสินใจของอเมริกา ซึ่งหวังว่าจะไม่นำไปสู่การคงอัตราภาษีไว้ที่ 36% ทั้งสองประเทศ เพื่อไม่เป็นการแสดงออกว่าเข้าข้างใคร?
หากเป็นเช่นนี้ กัมพูชาเดือดร้อนแน่นอน ประมาณ 40% ของการส่งออกของเขาไปที่อเมริกาซึ่งส่วนใหญ่คือ เสื้อผ้า ชุดกีฬา ที่สามารถผลิตแทนได้ที่เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย
มีโอกาสกระทบแรงงาน 800,000 คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้
ส่งผลต่อเรา หนักเช่นกัน ตลาดหุ้นไทยที่เพิ่งปรับขึ้นมาสองร้อยจุดเป็นด่านแรก ผลต่อเศรษฐกิจ ต่อการว่าจ้าง จะตามมาติดๆ
ผมขอเน้นอีกครั้งว่าผลจะออกมาอย่างไร นี่คือสัญญาณเตือนให้เรารีบพัฒนาตัวเราเอง”
หลังจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอให้ไทยกับกัมพูชาพูดคุยยุติการสู้รบ โดยหยิบเอาภาษีมาขู่
คุณกรณ์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “..ผมได้เขียนด้วยว่า หากจะมีข้อตกลงได้ อเมริกาต้องไม่ได้เพียงแค่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ทรัมป์ต้องได้ “win” ทางการเมือง
วันนี้จึงมีทางออก ทั้งทางความมั่นคงและทางเศรษฐกิจ
ผมหวังว่าเราได้ตอบว่า “เราไม่เคยต้องการให้เกิดความรุนแรง พร้อมหยุดยิงเมื่อกัมพูชาหยุด และพร้อมตั้งโต๊ะเจรจาเรื่องชายแดนกับกัมพูชาทันที”
กัมพูชาเองจะเดือดร้อนมากจากอัตราภาษีที่สูง ดังนั้น การแทรกแซงโดยทรัมป์น่าจะเป็นทางลงให้ฮุนเซนถอยจากศึกที่เขาไม่มีวันชนะ
การตกลงหยุดยิงน่าจะช่วยให้ทั้งสองประเทศได้รับข้อตกลงภาษีลดลง และเข้าจังหวะที่ทรัมป์ต้องการผลงานการเจรจาสงบศึก หลังจากที่ยังไม่สามารถทำได้ตามที่เคยหาเสียงไว้ในกรณี รัสเซีย/ยูเครน และ อิสราเอล/ปาเลสไตน์
เป็นที่รู้กันว่าทรัมป์ต้องการ Nobel Prize จากผลงานระงับสงคราม
ส่วนเราได้กลับไปเจรจากับกัมพูชาในระดับทวิภาคี โดยไม่มีศาลโลก (ทรัมป์เองก็ไม่ชอบศาลโลก)
เราได้โอกาสนี้มาด้วยเลือดเนื้อและความเสียสละของทหารและประชาชนคนไทย หวังว่ารัฐบาลจะใช้ให้เป็นประโยชน์กับเรา”
3. น่าสนใจว่า สหรัฐจะลดภาษีให้เราแค่ไหน?
ขณะนี้ สหรัฐปิดดีลกับอียูได้แล้ว
คุณกอบศักดิ์ ภูตระกูล ระบุว่า “ยุโรปยอมเปิดตลาดทั้งหมดของประเทศสมาชิก 27 ประเทศ คน 450 ล้านคน ให้กับสินค้าสหรัฐที่ 0%
ขณะเดียวกัน ยอมให้สหรัฐคิด Tariffs 15% บวกกับจ่าย Tariffs อัตราพิเศษ ++ สำหรับเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม (ที่สหรัฐประกาศแล้ว) และยา ชิพ … อื่นๆ (ที่จะประกาศต่อไป)
พร้อมสัญญาเพิ่มเติม ตามแบบดีลญี่ปุ่น เพื่อให้ได้ 15%
โดยซื้อพลังงานจากสหรัฐ 7.5 แสนล้านดอลลาร์
ลงทุนในสหรัฐอีก 6 แสนล้านดอลลาร์
พร้อมซื้อยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ (แต่ยังไม่บอกตัวเลข)
ซึ่งสอดรับกับการที่สมาชิก NATO ได้ตกลงที่จะจัดงบประมาณด้านกลาโหมให้มากขึ้น
ครั้นพอมีคนถามตรงๆ ว่า “ยุโรปได้อะไรจริงๆ จากดีลนี้”
President of the European Commision บอกว่า “… เรามีความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างกัน ข้อตกลงนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว การค้าจะได้เดินหน้าต่อไป เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย … ”
สรุปง่ายๆ ก็คือ ยุโรปยอมทุกอย่าง เพื่อจะได้ค้าขายกับสหรัฐต่อ
ฝืนยิ้ม กล้ำกลืน ยอมรับ Tariffs ที่ไม่สมดุล 15% ต่อ 0%
ซึ่งน่าจะเป็น One-side Deal ที่สหรัฐได้ข้างเดียว เพื่อสิทธิดังกล่าว
สำหรับไทย ดีลนี้ก็มีความหมายอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะสหภาพยุโรป มี 27 ประเทศ มีคน 450 ล้านคน มีหลายประเทศเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีสินค้าคล้ายๆ กับไทย เป็นคู่แข่งของเรา
เมื่อประเทศเหล่านี้ ได้ดีล 15%
รวมถึงญี่ปุ่น 15%
อินโดนีเซีย 19%
ฟิลิปปินส์ 19%
เวียดนาม 20%
นอกจากนี้ สหรัฐจะมีดีลอีก 2-3 ประเทศ เช่น อินเดีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซึ่งมีโอกาสได้ 20% หรือต่ำกว่าเช่นกัน
ทั้งหมด จะเป็นแรงกดดันต่อภาคส่งออกไทยต่อไป
หลังจากนี้ สำหรับประเทศที่เหลือ ในโค้งสุดท้าย President Trump บอกว่า ให้เตรียมรับจดหมายยืนยันอัตรา Tariffs ที่สหรัฐจะส่งไปให้ก่อน 1 สิงหาคม โดยไม่มีการเลื่อนออกไป รวมถึง จะได้ส่งจดหมายแจ้งอีกร้อยกว่าประเทศ ที่เคยได้อัตรา Minimum 10% ด้วย ว่าจะจบที่เท่าไร มาติดตามกันครับ”
4. สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงการส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่า 28,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (938,533 ล้านบาท)
ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ที่ร้อยละ 15.5
แต่แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป จะต้องดูภาษีโต้ตอบของสหรัฐว่าจะเจออัตราเท่าใด?
“แนวโน้มการส่งออกครึ่งหลังของปี 2568 การดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อการค้าไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ผลของการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีต่างตอบแทนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 2568 เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อทิศทางการค้าระหว่างประเทศในอนาคตของไทย
โดยไทยได้ยื่นข้อเสนอฉบับใหม่ที่เปิดตลาดมากขึ้นให้กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งได้รับการตอบรับในทิศทางที่ดี
คาดว่าไทยจะได้รับอัตราภาษีที่เหมาะสม และยังสามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกรายอื่นในภูมิภาคได้
ในระยะยาว การสร้างความสมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ ถือว่าจะเป็นโอกาสให้ไทยเร่งปรับปรุงโครงสร้างการส่งออกไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเพื่อรองรับการกระจายความเสี่ยงการผลิตและลงทุน และยกระดับสภาพแวดล้อมทางการค้าของประเทศให้แข่งขันได้ในระดับโลกเพิ่มขึ้น
ในส่วนของการบรรเทาผลกระทบ ภาครัฐได้เตรียมความพร้อมด้วยมาตรการสนับสนุนทั้งภาคธุรกิจและเกษตรกรรม
สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่คาดว่าจะส่งผลต่อการส่งออกในครึ่งปีหลัง อาทิ ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผลไม้ที่กำลังออกสู่ตลาด สงครามในตะวันออกกลาง การชะลอการลงทุนเพื่อรอดูท่าทีการเจรจา การปรับตัวของผู้ส่งออกในการปรับเปลี่ยนแหล่งนำเข้าวัตถุดิบให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของการลดภาษีของสหรัฐฯ
สถานการณ์เหล่านี้เป็นประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์ยังคงต้องติดตามและหามาตรการรับมือ เพื่อแก้ปัญหา และหาแนวทางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมต่อไป”
5. ศึกหนักเศรษฐกิจไทย ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว
วิจัยกรุงศรี ให้มุมมองที่ต้องจับตาหลังจากนี้ ระบุว่า
“จับตาผลการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ
หลัง 2 ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนต่อรองภาษีตอบโต้เหลือ 19-20%
ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจชะลอลงจากปีก่อน
แม้มีมาตรการรองรับผลกระทบสงครามการค้าจาก BOI แต่ยังต้องติดตามการเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐฯ
เลขาฯสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เผยว่า จากการประกาศใช้นโยบายเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯล่าสุด ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล ประกอบกับการแข่งขันทางธุรกิจในประเทศมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ทาง BOI จึงออกมาตรการ “ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย เพื่อรองรับโลกยุคใหม่” โดยมีเป้าหมาย คือ (i) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศให้แข็งแกร่ง และ (ii) ลดความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และจัดระเบียบการลงทุนเพื่อรักษาสมดุลในการแข่งขันทางธุรกิจให้เหมาะสม
ข้อมูลจาก BOI ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่จำนวนโครงการ (822 โครงการ หรือ +20% YoY) และมูลค่าการลงทุน (4.31 แสนล้านบาท หรือ +97% YoY)
นำโดยการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นับเป็นแรงกดดันที่มีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลก และพึ่งพาการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯเป็นหลัก
ทั้งนี้ ยังต้องติดตามการเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการว่าจะสามารถลดอัตราภาษีตอบโต้ให้ต่ำกว่า 36% ได้หรือไม่
ขณะที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียสามารถเจรจาลดอัตราภาษีลงเหลือ 20% และ 19% ตามลำดับ
หากไทยเผชิญอัตราภาษีที่สูงกว่าอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะต่อไป
จำนวนนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวอย่างช้าๆ วิจัยกรุงศรีคาดปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดเพียง 34 ล้านคน
ล่าสุดข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง วันที่ 13 กรกฎาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยรวม 17.75 ล้านคน ลดลง 5.6% YoY สร้างรายได้ 8.22 แสนล้านบาท
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย จีน อินเดีย รัสเซีย เกาหลีใต้
จากข้อมูลรายสัปดาห์ล่าสุดแม้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับกว่า 10,000 คนต่อวัน จากราว 7,000-8,000 คนต่อวัน ในช่วงก่อนหน้า แต่ยังนับว่าต่ำเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่เคยมากถึง 30,000 คนต่อวัน
สะท้อนให้เห็นว่า การฟื้นตัวยังอ่อนแอและยังไม่กลับเข้าสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งนอกจากผลกระทบจากความกังวลด้านความปลอดภัยแล้ว ยังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่ง เช่น ญี่ปุ่น และเวียดนาม
ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ วิจัยกรุงศรี ตัดสินใจปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าไทยในปี 2568 ลงเหลือ 34 ล้านคน
จากเดิมคาดที่ 36.5 ล้านคน
และลดลงจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน
โดยประเมินว่าการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนอาจยังไม่สามารถเร่งตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ แม้บางประเทศจะมีแนวโน้มดีขึ้น อาทิ อินเดีย และยุโรป แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยช่องว่างของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นตลาดหลักของไทย” สรุป
เท่ากับว่า เศรษฐกิจไทยเจอศึกหนัก เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวหลักๆ จะกระทบหมด
ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว
นักการเมืองตื่นหรือยัง รัฐบาลตื่นหรือยัง
เมื่อไหร่ประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพกว่านี้ มีศักยภาพกว่านี้
มีผู้นำที่มีบารมี มีความสามารถที่จะพาประเทศไทยรอด สร้างความเชื่อมั่นแก่ทุกภาคส่วนมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ได้หรือยัง?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี