ในที่สุด สิ่งที่คนจำนวนมากคาดหมายว่าจะเกิด ก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เขมรเปิดฉากระดมยิงเข้ามาในเขตประเทศไทย มีประชาชนไทยบาดเจ็บล้มตาย ทรัพย์สินของพลเรือนเสียหายยับเยิน
จากนั้นทางกองทัพแห่งประเทศไทยจึงได้ทำการตอบโต้ ขณะที่ช่วงกลางวันของวันนั้น คนใหญ่ในรัฐบาลยังบอกว่าเป็นการปะทะกันเล็กน้อยบริเวณชายแดนไทย-เขมร แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะประดิษฐ์คำให้สวยหรูอย่างไร นี่คือสงคราม ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หรือจำกัดพื้นที่ มันคือสงครามอย่างแน่นอน
ทันทีทันควัน หลังจากที่เขมรโจมตีไทย และไทยตอบโต้กลับ เขมรก็ฟ้องต่อนานาชาติว่า ไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อน และไปยื่นร้องต่อ สหประชาชาติ ขอให้ออกคำสั่งให้ไทยหยุดยิงทันที ทำให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ต้องเรียกประชุมฉุกเฉิน
เป็นการเปิดศึก 2 แนวรบ หนึ่งคือแนวรบที่เผชิญหน้าและปะทะกันจริงในสมรภูมิ และอีกหนึ่งคือ สงครามการข่าว ซึ่งผมเพิ่งเขียนไว้ในคอลัมน์นี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “ประเทศไทยที่ดูเหนือกว่าทุกด้าน ทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตผู้คน เอาเข้าจริง สู้เหลี่ยมคมของเขมรไม่ได้เลย”
แต่คราวนี้ ยังดีที่หลักฐานต่างๆ ค่อนข้างชัดเจนว่า เขมรเป็นฝ่ายเปิดฉากการยิงก่อน และระดมยิงเข้าไปในพื้นที่ของพลเรือน ทั้งโรงพยาบาล, ปั๊มน้ำมัน, ร้านสะดวกซื้อ และบ้านเรือนประชาชน ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าไทยจะได้เปรียบเขมรในที่ประชุมฉุกเฉินแต่อย่างใด
เพราะเอาเข้าจริง คณะมนตรีความมั่นคงฯ ก็แค่รับฟัง รับทราบข้อมูล แต่ก็ไม่ได้มีมติใดๆ นอกจากบอกให้ทั้งสองฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และให้สองประเทศไปพูดคุยเพื่อหาทางออกกันเอาเอง บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ต้องประชุมก็ได้ รบกันให้สะเด็ดน้ำไปเลย แต่ความจริงไม่ง่ายอย่างนั้นเพราะเขมรเป็นฝ่ายยื่นฟ้องเข้าไป หากไทยวางเฉยก็จะยิ่งเสียเปรียบ
ถึงแม้จะเข้าที่ประชุมระดับสูงสุดของมหาอำนาจที่มีสิทธิวีโต้เรื่องต่างๆ 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, จีน, อังกฤษ, รัสเซีย และฝรั่งเศส ก็ใช่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นบวกสำหรับประเทศไทย ผมเคยเขียนมาแล้วว่า ไม่มีหรอกมหามิตรในโลกของความเป็นจริง เพราะมหามิตรเหล่านี้ก็พร้อมค้าขายอาวุธกับทุกประเทศ ประมาณว่า “มึงรบ กูรวย”
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่ประชุมเสร็จสิ้น ทางสหประชาชาติก็ไม่ได้แถลงอะไรเพิ่มเติม ทุกชาติที่เข้าร่วมประชุมไม่ได้สัมภาษณ์ ยกเว้นเขมรเท่านั้นที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นี่เท่ากับเสียพื้นที่ทางการข่าวไปอีกดอก
ขณะที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ มีข่าวผู้นำเขมรรีบต่อสายไปฟ้องประธานาธิบดีอเมริกันเหมือนเด็กถูกสปอยล์ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็รีบรับลูกเพื่อโชว์กับโลกว่าเป็นขาใหญ่ พร้อมจะเคลียร์ให้ แต่ก็เอาเรื่องภาษีมาขู่ ระยำตามฐานานุรูป
ทบทวนกันคร่าวๆ เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ 28 พฤษภาคม ทหารเขมรยิงใส่ทหารไทยและในแผ่นดินไทยก่อนทหารไทยจึงตอบโต้จนทหารเขมรตายไป 1 ศพ และพบว่ามีการขุดคูเลตหรือสนามเพลาะยาว 600 เมตร ส่วนที่ลึกเข้าในเขตแดนไทยก็ปาเข้าไป 150 เมตร
ตามมาด้วยการสาดโคลนระหว่างตระกูล “ฮุน” และตระกูล “ชิน” โดยมีประเทศชาติและประชาชนไทยเป็นเดิมพัน ดูเหมือนรัฐบาลเพื่อไทยจะพยายามทุกวิถีทางที่จะดึงการตอบโต้ที่จำเป็นให้ช้าลง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ หรือกระทรวงการต่างประเทศ
ถัดมาวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ทหารไทยก็เหยียบกับระเบิดเสียชีวิตและพิการ เป็นกับระเบิดทำจากรัสเซียที่เพิ่งวางใหม่ในเขตประเทศไทย ซึ่งนอกจากละเมิดเขตแดนไทย ยังละเมิดอนุสัญญาออตตาวาในการใช้กับระเบิดสังหารบุคคล
มีการยั่วยุโดยส่งพลเรือนและทหารเข้ามายังสถานที่ท่องเที่ยวอย่างปราสาทตาเมือนธม และในที่สุดก็มาถึงช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ที่เขมรโจมตีแบบไม่แยกแยะใน 4 จังหวัดชายแดน โดยเฉพาะการโจมตีโรงพยาบาลซึ่งละเมิดอนุสัญญาเจนีวา
หลังจากนั้น ข้อมูลมากมายก็ทยอยถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะ โดยเฉพาะจากข้อมูลของนักวิเคราะห์แผนที่จากดาวเทียมชั้นนำที่บ่งชี้ว่า เขมรมีความเคลื่อนไหวกำลังพลนับหมื่นอย่างผิดปกติมาหลายเดือนแล้ว เอาแค่ตอนที่พบว่ามีการขุดคูเลตก็ย่อมไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นแน่ เพราะคูเลตยาวเกือบ 1 กิโลเมตร คงไม่ได้ขุดกันวันสองวัน
เหล่านี้จึงทำให้สงสัยว่า ความเคลื่อนไหวจ่ออยู่ที่ปลายจมูกนี้ กองทัพและฝ่ายความมั่นคงไม่ระแคะระคายเลยหรือ ถึงยอมปล่อยให้เลยเถิดมาจนเกิดสู้รบกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่า การข่าวไร้สมรรถภาพอย่างไม่น่าให้อภัยหรือถ้าไม่ใช่ จะตอบข้อสงสัยนี้ว่าอย่างไร มีใครมาคอยกระตุกไว้ด้วยอำนาจทางการเมือง หรือมีผลประโยชน์อะไรมาเป็นม่านบังตาหรือไม่
ไม่ใช่เรื่องเท่อะไรเลยที่จะมาอวดหลังถูกโจมตีแล้ว ว่าไทยมีศักยภาพทางอาวุธและกำลังคนเหนือกว่าเขมร ตัวอย่างในอดีตเมื่อ 50 ปีที่แล้วยังแจ่มชัด เมื่อยักษ์ใหญ่ที่มีกำลังและทุนเป็นที่ 1 ของโลกอย่างอเมริกา ย่อยยับไม่มีชิ้นดีมาแล้วในสมรภูมิเวียดนาม
ผมเคยเขียนถึงตัวเองเมื่อ 30 ปีมาแล้วว่า ผมเป็นพวกนีโอ-เนชั่นแนลิสต์ หรือ “ชาตินิยมใหม่” แน่นอนว่าต้องยืนอยู่ข้างแผ่นดินเกิดไว้ก่อน แต่เราก็รักชาติอย่างมีเหตุมีผล อะไรไม่ดีในประเทศก็ต้องตำหนิติเตียน อะไรที่น่าสงสัยก็จะ “เอ๊ะ!” ไว้ก่อน ไม่ใช่พอเป็นไทยแล้ว ทุกอย่างเลิศเลอเพอร์เฟกท์ไปหมด
แต่ก็ไม่ได้ “คลั่งชาติ” แบบที่นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวสมองวุ้นบางคนออกมากล่าวหาคนไทยที่รักชาติ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่พวกโลกสวยเหมือนดื่มกินสันติภาพแทนนมแม่ หรือพวกเกลียดชังชาติตัวเอง แต่ขี้ขลาดเกินกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ตอนนี้เห็นยังเงียบๆ อยู่ คอยดูตอนที่เหตุการณ์สงบเถอะ เดี๋ยวก็ออกมาปากหมา เอ๊ย! ปากแจ๋วกันอีก
ผมเชื่อว่า สงครามครั้งนี้คงไม่จบลงง่ายๆ และจะไม่จบแบบถาวร ตราบใดที่กองทัพไทยยังไม่สร้างความเสียหายให้เขมรหนักพอ ตราบใดที่ยังไม่ยกเลิกเอ็มโอยูอัปยศ 2 ฉบับ และตราบใดที่เรายังไม่สามารถกำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินให้สิ้นซาก
อย่างหลังนี้ผมไม่ได้หมายถึงเขมรอย่างเดียว แต่หมายถึงคนไทยที่เห็นผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าความทุกข์ร้อนของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นนายทุนสามานย์, นักการเมืองชั่ว, ทหารและข้าราชการคอร์รัปชั่น และมาเฟียชายแดน
คนเหล่านี้ก็เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินเช่นกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี