ในที่สุด ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร ต้องสิ้นสุดลงหลังการประกาศคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อบ่าย 3 โมงของวันที่ 29 สิงหาคม 2568
ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน ที่ ฮุนเซน ปล่อยคลิปการเจรจาประสาลุงกับหลานออกมา จนเป็นเหตุให้มีการยื่นร้องเรื่องพฤติกรรมของ แพทองธาร ต่อศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช. เวลาที่ผ่านมาก็ความเคลื่อนไหวจากฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายที่เชียร์เธอและฝ่ายที่ต่อต้านเธอ เหมือนซีรี่ส์ห่วยๆ ทางทีวี. แต่หลากรสชาติ ทั้งเย้ยหยัน, ด่าทอ, โต้ตอบ, หลอกลวง, ต้มตุ๋น, จิกกัด, บีบน้ำตา ฯลฯ
จนมาถึง 2 วันสุดท้ายของการพิจารณาข้อกล่าวหา บรรยากาศยังเต็มไปด้วยความเข้มข้น วันที่ 28 สิงหาคม แพทองธาร มีทีท่ายิ้มแย้มแจ่มใส ดวงตาเป็นประกายวาววาม ราวกับว่าได้ข่าวดีอะไรสักอย่างมาดูมีความมั่นอกมั่นใจ ถึงขนาดบอกนักข่าวว่า จะเข้าไปที่ทำเนียบรัฐบาล นัยว่าจะได้ทำงานต่อทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไม่มีความผิดตามที่มีผู้ร้อง
ยิ่งคดี 112 ของพ่อเพิ่งรอดไปได้ก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้เธอและกองเชียร์เป็นอักโข
พอถึงบ่าย 3 ของวันที่ 29 สิงหาคม ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบังลังก์ เพื่อวินิจฉัย 2 ประเด็น คือ หนึ่ง-มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และ สอง-มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เริ่มต้นก็เป็นไปตามปกติ ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทำการบรรยายก่อนว่า ศาลมีอำนาจในการพิจารณา 2 เรื่องนี้หรือไม่ จากนั้นก็เข้าประเด็นที่ต้องพิจารณา
ปรากฏว่าประเด็นแรกรอดไปกองเชียร์ของ แพทองธาร และพรรคเพื่อไทย ดีอกดีใจกันใหญ่ ถ้าลุกเต้นสามช่าได้ก็คงลุกขึ้นเต้นกันไปแล้ว ส่วนฝ่ายต่อต้านก็ใจคอไม่ดี กลัวว่าถ้าเธอรอดพ้นจากความผิดไปได้ ประเทศก็จะจมปลักอยู่ในความตกต่ำเสื่อมถอย
แต่เหมือนบทหักมุมเมื่อมาถึงประเด็นเรื่องจริยธรรม พอศาลอ่านคำบรรยายไปถึงช่วงกลางๆ กองเชียร์ของแพทองธาร ก็ชักออกอาการอึ้ง-ทึ่ง-เสียว และเมื่อมาถึงท่อนที่ว่า “เมื่อพิจารณาประกอบกับเจตนา และความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นได้ว่ามีลักษณะร้ายแรงตามข้อ 27 วรรคสองด้วย ดังนั้นผู้ถูกร้องจึงมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
เสียงหัวเราะครื้นเครงก็เปลี่ยนเป็นน้ำตา
ยิ่งกว่านั้น รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล พากันมีสีหน้าเจื่อนๆ พะอืดพะอมคล้ายจะเป็นลม เพราะคำวินิจฉัยให้ แพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง หมายถึงคณะรัฐมนตรีก็หลุดไปทั้งพวงด้วย
แต่เอาเข้าจริง จะหลุดไปคนเดียวหรือหลุดทั้งพวงก็ไม่สลักสำคัญอันใด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งนายกฯและรัฐมนตรีทั้งพวงก็ไม่ได้แสดงออกว่ามีความสามารถในเรื่องใดๆ เลยนอกจากสรรหาวาทะคมๆ มาให้สัมภาษณ์ และเดินกรีดกรายตามกันไปเป็นฝูงๆ
อย่างหนึ่งที่แน่ๆ และจะต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ คือ ภายใต้เงื้อมเงาของกงสีชินวัตร ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ถึงพลังประชาชน และเพื่อไทย มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 6 คน ได้แก่
ทักษิณ เป็นนายกฯระหว่าง 2544-2549 ถูกปฏิวัติ ต้องอาศัยอยู่นอกประเทศ 17 ปี, สมัคร สุนทรเวช ผู้ยอมรับว่าตัวเองเป็นนอมินี อยู่ได้ 7 เดือนในปี 2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่ง, สมชาย วงศ์สวัสดิ์ 2 เดือนครึ่งในปี 2551 โดยไม่สามารถเข้าทำเนียบได้แม้แต่วันเดียว, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 ปีกับอีก 9 เดือน ระหว่าง 2554-2557 ลงเอยด้วยการหนีคดีออกนอกประเทศ, เศรษฐา ทวีสิน 11 เดือนกว่าในปี 2566-2567 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่ง และ แพทองธาร ชินวัตร 10 เดือนครึ่งระหว่างปี 2567-2568 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่ง
ลงเอยแบบไม่มีดีสักคนเดียว
แต่ซีรี่ส์ห่วยๆ เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะทันทีที่รู้ผลจากศาลรัฐธรรมนูญ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพื่อจะรวบรวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาลใหม่ เดินสายไปพรรคโน้นพรรคนี้ ซึ่งไม่ใช่ปฏิบัติการสายฟ้าแลบแน่นอน คงมีการติดต่อเจรจากันในทางลึกมาระยะหนึ่งแล้ว
ก่อนหน้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 1 วัน อนุทิน ก็ไปกินข้าวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และก็มีข่าวว่าไปคุยล่วงหน้ากับพรรคประชาชน เพื่อขอเสียงโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไว้แล้ว เกมนี้จะถูกวางแผนมาโดยครูใหญ่ เนวิน หรือเปล่าไม่รู้ แต่รู้สึกคุ้นๆ ยังไงพิกล
ฝ่ายพรรคเพื่อ่ไทยก็แน่นอน บรรดาหัวหงอกหัวดำในพรรคต้องรอเจ้าของพรรคลงมาบัญชาการเอง ซึ่งมองได้ 2 ด้าน คือ หนึ่ง-คิดอะไรไม่เป็น กับสอง-คิดเป็นแต่ไม่กล้าพูด ประมาณว่ารักนะแต่ไม่แสดงออก
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงได้เห็น ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปที่พรรคเพื่อไทย น่าจะไม่ได้เข้าไปแค่กินกาแฟหรือนวดแผนโบราณแน่ๆ คงพยายามวางแผนที่จะรักษาอำนาจรัฐเอาไว้ในมือของพรรคเพื่อไทย โดยไม่ต้องมีการยุบสภา แม้นายกฯรักษาการอย่าง ภูมิธรรม เวชยชัย จะออกมาบอกว่าตนเองมีอำนาจยุบสภา ซึ่งมีอำนาจจริงหรือเปล่ายังไม่รู้ หรือเป็นแค่“ขู่ไปแต่ใจหวิว”
เพราะถ้ายุบสภาจริงๆ จากข้อหาขายชาติที่ประทับตราอยู่บนหน้าของพ่อและลูกสาว และความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยลงเลือกตั้งตอนนี้ จะได้เสียงมาหลักร้อยเหมือนเดิมหรือเปล่า?-ยังสงสัย ดังนั้น ธรรมชาติของคนที่เป็นนักต่อรองมาทั้งชีวิตย่อมไม่เสี่ยงเกมที่ตัวเองไม่ได้เปรียบ
ทั้งหมดที่ว่ามานี้ จึงไม่แปลกที่ทั้งภูมิใจไทยและเพื่อไทยจะพยายามเร่งดูดพรรคอื่นๆ เข้ามาเป็นพวก เคยด่าพ่อล่อแม่กันมายังไงก็ลืมไปก่อน สิ่งหนึ่งที่ตามมาคือ ตอนนี้คำว่า “ประชาชน” จะถูกบ้วนออกจากปากนักการเมืองให้ฟังจนเลี่ยนแทบอาเจียน อุดมการณ์เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ “คลำไม่มีหางก็ต้องเอาไว้ก่อน” นั่นสิเรื่องจริง
ผมเขียนต้นฉบับนี้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กว่าจะถึงวันอังคารที่ขึ้นเผยแพร่ใน “แนวหน้าออนไลน์”สถานการณ์ทางการเมืองอาจจะพลิกอีกไม่รู้กี่ตลบ แต่ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะอีกไม่กี่วันซีรี่ส์ละครการเมืองไทยก็จะเริ่มเอพิโสดใหม่ และยังคงน้ำเน่าเหมือนเดิม
ทิวา สารจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี