หลังจากสั่งสมอารมณ์และความรู้สึกจากการติดตามข่าวชายแดนไทย-เขมร ตอนนี้คงมีคนไทยมากมายชักเริ่มจะพัฒนาตัวเองจาก “ชาตินิยมน้อยๆ” เขยิบขึ้นเป็น “คลั่งชาติเล็กๆ” เพราะอึดอัดกับความคลุมเครือของรัฐบาลภายใต้การกำกับของนักโทษชายผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง
ตั้งแต่เปิดฉากปะทะกันในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ถึงวันประกาศให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง 28 กรกฎาคม ในภาคของการรบ ต้องบอกว่าทหารไทยประสบชัยชนะ แม้จะเสียท่าตรงปราสาทตาควายให้เขมรยึดไว้ได้ หรือมีเสียชีวิตและพิการไปบ้าง แต่เทียบไม่ได้กับทหารเขมรที่ตายไปหลายพัน
ภาคประชาชนนั้นก็แน่นอน ชนะขาดอีกเช่นกัน คนไทยทั่วทุกหัวระแหงระดมส่งของสนับสนุนไปสู่แนวหน้าไม่ขาดสาย อุปกรณ์ต่างๆ ที่จะเอื้อการทำงานของทหาร ตั้งแต่ของกิน, น้ำดื่ม,หน้ากากอนามัย, ถุงเท้า, เสื้อยืด ไปยันโดรน เดินทางจากทุกทิศทางไปสู่ชายแดน ขนาดประกาศรับบริจาคลวดหนามหีบเพลงวันเดียว ทำเอาลวดหนามถึงกับขาดตลาด ทำเอาคนอ้วนๆ แถวทำเนียบถึงกับหงุดหงิด คล้ายๆ ว่า เสียหน้า
แต่สิ่งที่แพ้คือ การจัดการด้านข่าวสารของภาครัฐ เจ้าหน้าที่ด้านการต่างประเทศระดับสูงคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาถึงกับเอ่ยปากว่า ไทยสู้เขมรไม่ได้เรื่องการปล่อยข่าวสารสู่สาธารณะและการสร้างฉากยั่วยุก่อกวนต่างๆ บริเวณชายแดน
ข่าวปลอมจากเขมรถูกปล่อยออกมาถี่ยิบ และแทบจะทุกเวลาที่มีโอกาส เช่น ไทยยิงก่อนจนทหารเขมรเสียชีวิต, ไทยรุกล้ำดินแดนเขมร, เอาภาพการดับไฟป่าในแคลิฟอร์เนียมากล่าวหาว่าไทยใช้สารพิษในการทำสงคราม, ไทยฝังทุ่นระเบิดเอง, ทหารที่ตายจำนวนมากเป็นทหารไทย แต่ถอดชุดออกแล้วเอาชุดทหารเขมรมาใส่, ตัดต่อภาพต่างๆ นานา ฯลฯ จนกระทั่งไปเอาสิบแปดมงกุฎอเมริกันมาแอบอ้างเป็นนักข่าวใกล้ชิดวงในของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ขณะที่คนไทยผู้รักชาติหลายสาขาอาชีพกลับต้องทำหน้าที่ตอบโต้แทนทางสื่อโซเชียลเสียเอง คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ก็ออกมาอธิบายความจริงทางเฟซบุ๊กบ้าง ติ๊กต็อกบ้าง, ใครที่รู้ประวัติศาสตร์ก็หยิบยกเอาความเป็นมาต่างๆ มาบอกเล่า, นักคิดทั้งหลายออกมาช่วยกันแสดงความคิดเห็นแง่มุมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ฯลฯ เพราะอดรนทนไม่ได้กับการทำงานของรัฐบาล
สิ่งที่คนไทยจะได้ยินเสมอในช่วงสามสี่สัปดาห์ที่ผ่านมาคือ “เราพยายามเน้นข้อเท็จจริง” หรือ“เราเป็นสุภาพบุรุษ” แล้วก็ตามแก้ข่าวปลอมจากเขมรไป ยังดีที่เดี๋ยวนี้ตอบโต้วันต่อวัน แต่ก็ยังตามหลังทุกช็อต แรกๆ เขมรปล่อยข่าวปลอมรัวๆ มาสองวันแล้ว กว่ากระทรวงการต่างประเทศจะกระดืบๆ ออกมาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษผู้ยึดมั่นข้อเท็จจริง นานาชาติก็เชื่อเขมรไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เหมือนเข้าวงไพ่แล้วรู้ว่า ไอ้กุ๊ยตัวนี้เล่นไพ่โกงแบบหน้าด้านๆ แทนที่จะช่วยตบกะโหลกให้เข็ดหลาบ และไล่มันออกจากวง กลับไปบอกว่า “ขอความกรุณาอย่าโกงเลยนะครับพี่”
จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีคนไม่น้อยที่คิดถึงทฤษฎีสมคบคิด การต่อรองผลประโยชน์ของตระกูลผู้นำของ 2 ประเทศ โดยมีสมบัติและทรัพยากรของแต่ละประเทศเป็นอาหารโอชะที่รออยู่ซึ่งจะไปห้ามคนที่คิดอย่างนั้นไม่ได้ ตราบใดที่บันทึกช่วยจำที่เซ็นกันไว้ในปี 2543 และ 2544 ยังไม่ถูกยกเลิก เอ็มโอยูที่ทะลึ่งไปยอมรับแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แทนที่จะเป็น 1 ต่อ 5 หมื่น ที่สากลโลกเขาใช้
นั่นคือเรื่องผู้คนจำนวนมากเชื่อกันไปแล้วว่า เป็นการเนรคุณต่อประเทศชาติที่เกินให้อภัย แต่ในทางกลับกันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน ยกเว้นคลิปเสียง“หลานกับอังเคิล”ที่อุบาทว์หูชิ้นนั้น
ยังมีอีกมุม ซึ่งอาจจะมีคนคิดอยู่ แต่ไม่ได้มีการพูดถึงกันมากนัก อยากเรียกว่า “ทฤษเฎา” เพราะยังไม่มีหลักฐานอะไร คือ ขณะที่ทหารอยากให้ทำรั้วถาวรบริเวณชายแดน เช่นเดียวกับประชาชนจำนวนมากในแถบชายแดนไทย-เขมร ที่แสดงความเห็นผ่านสำนักข่าวต่างๆ ว่า อยากให้ทำเพราะจะได้ใช้ชีวิตทำมาหากินอย่างสงบจริงๆ เสียที ก็ยังมีคนอีกสองสามพวกที่ไม่ต้องการให้กั้นรั้วชายแดน
หนึ่ง-รัฐบาลเขมรของ ฮุนเซน, สอง-รัฐบาลไทยยุคนี้, สาม-กลุ่มอิทธิพลที่ไปลงทุนบ่อนการพนันในกัมพูชา และสี่-พ่อค้านายทุนที่ส่งสินค้าอุปโภค-บริโภคเข้าไปขายในกัมพูชา
แน่นอน สามพวกแรกมีการพูดถึงกันมาก แต่พวกหลังนี่แทบไม่มีใครพูดถึง เป็นไปได้ไหมว่าผลประโยชน์จำนวนไม่น้อยกำลังถูกป้อนไปยังกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ในรัฐบาล เพื่อให้หน่วงเหนี่ยวหรือยับยั้งการกั้นรั้วชายแดน โดยไม่สนใจว่าความมั่นคงของประเทศจะสั่นคลอนหรือไม่ ผลประโยชน์จากการค้าขายของตนสำคัญกว่า และหากเมื่อใดประเทศไทยทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำ พ่อค้านายทุนเหล่านี้ก็คงจะเป็นพวกแรกๆ ที่หนีออกไปอยู่ต่างประเทศด้วยทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มหาศาล
เหมือนยุคหนึ่งที่บรรดามหาเศรษฐีเวียดนามและกัมพูชาเคยทำมาแล้ว
ทิวา สารจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี