เมื่อวาน ว่าด้วยเรื่อง “ชายชุดดำกับคนชุดแดง” สืบเนื่องจากข้อมูลฝ่ายแดงฮาร์ดคอร์ ออกมาแฉเองว่า อาวุธสงครามที่ชายชุดดำใช้ในช่วงปี 2553 นั้น ได้มาจากไหน?
เกี่ยวข้องอะไรกับฮุนเซนและลิ่วล้อทักษิณหรือไม่?
โดย “อาคม ซิดนี่ย์” ยืนยันข้อมูลจากการคุยกับชายชุดดำที่พนมเปญ ระบุว่า อาวุธสงครามนั้น “สมเด็จฮุนเซนให้มาเพื่อการต่อสู้จำนวน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจักรภพก็ยืนยันในข้อเท็จจริง..”
ล่าสุด ปรากฏว่า มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชายชุดดำและอาวุธสงครามที่นำมาใช้ก่อเหตุกลางเมืองหลวงของไทย ช่วงปี 2553 ในวันที่ทักษิณแนบแน่นกับฮุนเซน และต้องการคืนสู่อำนาจ
ข้อมูลชุดที่ไม่อาจมองข้ามได้ ไม่อาจไม่บันทึกไว้เป็นหลักฐานสำคัญ
อดีต สว.สมชาย แสวงการ อดีตประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา อดีตประธานคณะตรวจสอบเหตุการณ์ 10 เม.ย. 2553 ได้สรุปข้อมูลโพสต์ไว้น่าสนใจ ดังนี้
“ข้อเท็จจริงชายชุดดำและอาวุธสงคราม 10 เม.ย.-พ.ค .2553
ขออธิบายสรุปตามที่ได้ตรวจสอบและรับทราบรายงานในเหตุการณ์จริง บางส่วน ดังนี้ ครับ
1) อาวุธสงครามที่ชายชุดดำใช้ในเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 และเหตุการณ์ต่อเนื่องจนถึงการสลายการชุมนุม พ.ค. 2553 ได้ มาจาก 2 แหล่ง คือ
1.1 นักการเมืองระดับชาติภาคเหนือ นาย ยย และนาย ส นักการเมืองท้องถิ่นภาคตะวันออก จัดหาและซื้อจากชายแดนฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก
ได้แก่ RPG M-79 AK47 M-16 พร้อมกระสุน
1.2 กลุ่มมวลชนเสื้อแดงที่เข้าปล้นจากรถทหารที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งธนขาเข้า เมื่อ 17.00 น. ของวันที่ 10 เม.ย. 2553
เป็นอาวุธสงครามปืน M-16 travo 21 จำนวน 12 กระบอก พร้อมกระสุนจริง ปืนลูกซอง 35 กระบอก พร้อมกระสุนยาง ฯลฯ
ใบแจ้งความไว้ที่สน.บางยี่ขัน เมื่อ 15 เม.ย. 2553 (ตามเอกสารใบแจ้งความ)
อาวุธปืนบางส่วน น่าจะถูกนำไปใช้ร่วมในการโจมตีต่อเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายที่เห็นต่าง ในหลายเหตุการณ์ อาทิ
: การยิง M-79 จำนวน 10 นัด การใช้ปืนสงคราม M-16 AK47 ยิงใส่ทหารบริเวณถนนตะนาว ถนนข้าวสาร ทำให้ พลเอกชิษณุพงศ์ รอดศิริ ผู้ช่วยผบ.ทบ. ปัจจุบัน และทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
: การขว้างระเบิดM-67 จำนวน 2 ลูกสังหารพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม และทหารคุ้มกันเสียชีวิตรวม 3 นาย ที่หน้ารร.สตรีวิทยา โดย พลเอกวลิต โรจนภักดี บาดเจ็บสาหัส พลเอกธรมนูญ วิถีบาดเจ็บ พร้อมทหารอีกจำนวมาก
: การใช้เครื่องยิง M-79 ตามจุดต่างๆ เช่น กรม 1 รอ. ถนนวิภาวดี ยิงใส่โรงแรมดุสิตธานี สถานีรถไฟฟ้าถนนสีลม มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิต การยิง M-79 ที่ถนนราชดำริทำให้เด็กเสียชีวิตการยิงปะทะทหารด้วยอาวุธสงครามที่สวนลุมพินี การใช้ระเบิด C4 ต่อชนวนถังแก๊สที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ย่านประตูน้ำ ฯลฯ
อีก 2 ปี ต่อมา เมื่อ 26 พ.ย. 2555 พบว่า มีการนำปืนM-16 travo 21 จำนวน 10 กระบอก ไปทิ้งไว้ที่ข้างถนน อำเภอ ท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ที่เหลือยังสูญหาย
โดยสรุป ไม่พบว่ามีรายงานเกี่ยวกับการส่งอาวุธสงคราม2 ตู้คอนเทนเนอร์ มาจากฮุนเซนตามที่สมศักดิ์ เจียม อ้าง
2) ประเทศกัมพูชาเป็นที่ฝึกอาวุธให้กับชายชุดดำ 39 คน จริง
โดยมีรายงานที่บันทึกการสอบสวนผู้ที่ถูกจับกุมได้ ระบุถึงการเดินทางไปฝึกที่ กพช.ดังนี้
“ผู้ถูกซักถามอ้างว่า ตนเองออกจากพื้นที่การชุมนุมเมื่อ 15 พ.ค.2553
ภายหลังที่พล.ต.ขัตติยะ ถูกยิง ตนจึงหลบหนีไปอยู่ จ.เชียงใหม่ กับ นายเด่น (1 ใน 11 นักรบแดงที่ผ่านการฝึกจาก กพช. ซึ่งถูกจับกุมที่ จ.เชียงใหม่)
จากนั้น ถูกชักชวนให้ไปฝึกที่ กพช. จึงเดินทางไปพบนางสายใจ(หมวย) ที่บริเวณใกล้กับด่านข้ามแดนช่องจอม จ.สุรินทร์ ได้เช่าบ้านพัก 1-2 วันจึงมี จนท.ตม. ของ กพช.ชื่อ นายเยื้อน พาข้ามแดน แล้วจึงไปอาศัยบ้านของ จนท.ตม. คนดังกล่าว ซึ่งอยู่ใกล้กับด่านข้ามแดนอาศัยอยู่ประมาณ 10 วัน
จากนั้น จึงเดินทางไปยังค่ายฝึกโดยมีผู้เข้าร่วมการฝึกจำนวน 39 คน
ผู้ถูกซักถามยืนยันว่ารู้จักกับกลุ่ม 11 นักรบแดงซึ่งถูกจับกุมที่ จ.เชียงใหม่ (รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย) โดยในการฝึกจะมีการให้ทดลองยิงอาวุธสงคราม อาทิ ปลย.AK 47, ปก. ไม่ทราบชนิด, RPG และ M-79 แต่จะไม่ได้ยิงทุกคน หากใครมีฝีมือจะคัดไว้เป็นมือยิงสไนเปอร์ (ไม่ได้ระบุรายละเอียดแน่ชัด) ทั้งนี้ การฝึกทั้งหมด จะมี จนท.ทหาร กพช. เป็นผู้ฝึกให้โดยมีล่ามพูดภาษาไทยได้ จาก จ.ตาแก้ว ประเทศ กพช. เป็นผู้แปล
เมื่อจบการฝึก จึงปล่อยกลับประเทศไทย ซึ่งทุกคนจะได้รับรหัสประจำตัว โดย นายมงคลได้รับรหัสประจำตัว คือ SP 43 ทั้งนี้ในส่วนของบุคคลที่มีหมายจับ ประกอบด้วย นายมงคล, อ้วน,บังมัด และ นิค จะยังคงอยู่ที่ กพช. ต่อไป มิได้กลับเข้าประเทศไทย
3) กัมพูชา เป็นที่หลบซ่อนพักพิงของชายชุดดำและขบวนการคนเสื้อแดงหนีคดีจากไทย
ผู้ถูกซักถามระบุว่าภายหลังจบการฝึก ได้มี จนท.ทหาร กพช. พาเดินทางไปยัง จ.เสียมเรียบ เข้าพักในบ้านหลังหนึ่งมีลักษณะคล้ายโรงแรมเก่ามีร้านอาหารติดบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกซักถามมาทราบภายหลังว่าเป็นบ้านของนางกัญญาภัค (ดีเจอ้อม) พักอาศัยอยู่ประมาณ 10 วัน จึงมี จนท.ทหาร กพช. พาเดินทางไปยังย่านสุเพรียะมงกล กรุงพนมเปญ ประเทศ กพช. (ข้ามสะพานจรวยจองวา ทางทิศตะวันออกของกรุงพนมเปญ) อาศัยในบ้านสามชั้นล้อมรอบด้วยกำแพงสังกะสีสูง 2 เมตร โดยผู้ร่วมพักอาศัยประกอบด้วย นายอริสมันต์, ผู้ถูกซักถาม, นายอ้วน, นายนิค และ บังมัด พักอยู่ได้ห้วงเวลาหนึ่ง (ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่ชัด) ก็เดินทางไปจ.กัมปงจาม โดยผู้ร่วมพักอาศัยประกอบด้วย ผู้ถูกซักถาม, นายอ้วน และ นายนิค ส่วน นายอริสมันต์ และ บังมัดได้แยกออกไปพักที่อื่น ภายหลังจากพักได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็เดินทางกลับมายังย่านสุเพรียะมงกล อีกครั้ง และพักที่บ้านหลังเดิมจนถึงเดือน ก.พ.2554 โดยในระหว่างที่พักอาศัยได้พบกับ นายอริสมันต์, ส.จ.สำเริง และ พ.ต.ท.เสงี่ยม ซึ่งทั้งหมดเป็นแกนนำระดับฮาร์ดคอร์
นอกจากนี้ ยังได้พบ นายธนเดช (ไก่ แก๊งรถตู้) ในงานเลี้ยงอีกด้วย โดย นายธนเดช มีท่าทางสนิทสนมกับ นายสุภรณ์และพักอยู่กับ นายจรัล และ นายชินวัฒน์
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่พักในกรุงพนมเปญก็มี จนท.ทหาร กพช. พาผู้ถูกซักถามไปพัก ที่ จ.ตาแก้ว ประเทศ กพช. ติดกับชายแดนประเทศเวียดนาม เพียงคนเดียว
4) กัมพูชา มีส่วนสำคัญมากในการสนับสนุน นายทักษิณ และบริวาร ตลอดระยะเวลา ที่มีความขัดแย้งในประเทศไทย ตั้งแต่ 2549 จนถึงปัจจุบัน
มีข้อมูลข่าวและหลักฐานมากมาย ทั้งความสัมพันธ์กันระหว่างครอบครัว ธุรกิจ การใช้เป็นสถานที่จัดชุมนุมทางการเมืองนอกประเทศ หรือใช้เป็นที่หลบหนีของ ยิ่งลักษณ์ จักรภพ อริสมันต์ จารุพงศ์ ฯลฯ และคนในขบวนการจำนวนมาก รวมถึงผู้ต้องหาคดี 112 ในอดีตเกือบทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือให้หนีออกไปลี้ภัยอยู่ที่กัมพูชา ก่อนถูกส่งตัวไปประเทศอื่น เช่น จรัล สุรชัย ฯลฯ
ส่วนการแตกคอทะเลาะกันของฮุนเซนกับทักษิณ จะจริงจังแค่ไหนจะจบลงอย่างไร จะเป็นของจริงหรือแค่จัดฉาก คงต้องติดตามกันต่อไป
แต่สิ่งสำคัญ คือ การรับรู้และตรวจสอบข้อมูลข่าวกรองที่ถูกต้องของฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ ที่ต้องแม่นยำชัดเจน สื่อสารให้ประชาชนไทยได้ทราบอย่างถูกต้องตามสมควร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือขยายความขัดแย้งในปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่นับวันจะระอุมากขึ้นครับ”
ข้างต้นนั้น คือ ข้อมูลจาก ดร.สมชาย แสวงการ อดีต สว.ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องชายชุดดำติดอาวุธสงคราม เมื่อช่วงปี 2553 โดยตรง
จึงเป็นข้อมูลความจริงสำคัญ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ต้องบันทึกไว้ มิให้ตกหล่นสูญหาย หรือบิดเบือนในภายภาคหน้า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี