ปัญหาการคุกคามจากฝ่ายกัมพูชาในขณะนี้ มี 4 มิติ ได้แก่
มิติที่ 1 คำพูด ข้อสั่งการ นโยบายของผู้นำกัมพูชา (รวมฮุนเซน) ที่ยังคุกคามให้ร้าย ข่มขู่ และกล่าวหาไทยให้เสียหาย การลากพื้นที่ 4 จุดไปศาลโลกโดยฝ่ายเดียว การปลุกปั่นกระแส การวางมาตรการเปิด-ปิดด่าน การไม่ซื้อสินค้าบริการต่างๆ การสร้างกระแสให้คนกัมพูชารู้สึกปฏิปักษ์กับไทย ทั้งๆ ที่ เรื่องเริ่มมาจากผู้นำกัมพูชาเอง
มิติที่ 2 การทหาร การยั่วยุ เจตนาเพื่อให้ฝ่ายไทยเริ่มยิงก่อน เพื่อจะเก็บหลักฐานไปร้องประชาคมโลก แต่ฝ่ายกัมพูชานำอาวุธยุทโธปกรณ์มากดดันที่ชายแดน การลาดตระเวนแล้วพยายามยั่วยุ หรือแม้แต่การลอบวางระเบิดสังหาร
มิติที่ 3 การทำสงครามข้อมูลข่าวสาร การหาแนวร่วมในสังคมโลก รวมถึงในโลกโซเชียล มีทั้งเฟคนิวส์ ใช้ภาพข่าวบิดเบือนกล่าวหา
มิติที่ 4 การนำมวลชนแสดงออกในพื้นที่สัญลักษณ์ เช่น ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ฯลฯ และเริ่มมาป่วนเจ้าหน้าที่ ป่วนนักท่องเที่ยวไทย
ฝ่ายไทยเราต้องตระหนัก และรับมือทุกมิติ
1. ฮุน มาเนต ขู่ไทยอีกรอบ อย่าล้ำเส้นแดง
นายฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Hun Manet ว่า
“เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่ผมได้เห็นผู้นำทางการเมืองของไทย กองทัพ และสื่อมวลชน กล่าวหากัมพูชาอย่างไม่มีมูลความจริงในหลายประเด็น เช่น การแทรกแซงการเมืองภายในของไทย การวางทุ่นระเบิด และการข่มขู่ว่าจะใช้มาตรการฝ่ายเดียวในพื้นที่พิพาท เช่น พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตและปราสาทตาเมือนธม เป็นต้น
กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงหน่วยงานเฉพาะด้านของกัมพูชา ได้ดำเนินการตอบโต้ข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างแข็งขันเพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมการบังคับใช้มาตรการที่จำเป็นเพิ่มเติมเพื่อปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของประเทศกัมพูชา
ผมไม่ต้องการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพียงแต่ต้องการส่งข้อความสั้นๆ เพื่อเตือนฝ่ายไทยว่า
1. พื้นที่หรือบริเวณที่ยังเป็นข้อพิพาท หรือยังไม่ได้ข้อสรุปว่าอยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศใด ไม่มีฝ่ายใดมีสิทธิ์ดำเนินการฝ่ายเดียว ทุกมาตรการที่จะเกิดขึ้นต้องได้รับความตกลงร่วมกันจากทั้งสองฝ่ายก่อน
2. เส้นสีแดง ยังคงเป็นเส้นสีแดง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขออย่าล่วงละเมิด
3. กัมพูชาไม่เคยละเมิดใครก่อน แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาละเมิดตนเช่นกัน กัมพูชามีศักยภาพเพียงพอ และได้เตรียมพร้อมเต็มที่ในการปกป้องตนเองและรักษาอธิปไตยของแผ่นดิน ด้วยทุกวิธีการที่จำเป็น เพื่อตอบโต้การรุกราน
4. วิธีการบีบบังคับและสร้างแรงกดดันต่อผู้อื่น ไม่ใช่วิธีการที่มีคุณธรรมหรือยุติธรรม หากเราต้องการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันจริงๆ วิธีการเช่นนี้ไม่ควรถูกนำมาใช้
5. กัมพูชายังคงยึดมั่นในจุดยืน ที่จะหาทางออกอย่างสันติ รวดเร็ว ชัดเจน และยั่งยืน”
2. ทำไมกัมพูชากำเริบเสิบสานในยุครัฐบาลนี้?
กัมพูชามีเส้นแดงฝ่ายเดียวหรืออย่างไร?
ราชอาณาจักรไทยก็มีอธิปไตยเหนือเขตแดนที่ไทยยึดถือเช่นกัน
ถ้ารัฐบาลไม่ใช่ขี้ข้าเขมร ไม่ใช่ลูกไล่ฮุนเซน ไม่มีจิตเอื้อประโยชน์แก่อังเคิลฮุน จะต้องมีความเด็ดขาด รักษาเกียรติศักดิ์ศรีของประเทศชาติ
“ปราสาทตาเมือนธม” และปราสาทตาเมือนโต๊ด เป็นโบราณสถานสำคัญในประเทศไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากรเป็นโบราณสถานของชาติไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 (ค.ศ.1935) หรือกว่า 90 ปีที่ผ่านมา
ช่วงนั้น กัมพูชายังไม่ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสด้วยซ้ำ
กรมศิลปากรใช้งบประมาณร่วม 35 ล้านบาท ในการบูรณะซ่อมแซมตัวปราสาทตาเมือนธมและตาเมือนโต๊ด ในพื้นที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ระหว่างปี 2534-2543
ห้วงเวลาดังกล่าว ไม่เคยมีการทักท้วงใดๆ หรือการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าวจากฝ่ายกัมพูชา และไม่เคยเห็นทหารเขมร ในพื้นที่ตลอดช่วงเวลาร่วม 10 ปีของการบูรณะซ่อมแซม เห็นแต่ทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยรอบตัวปราสาท ตอกย้ำชัดว่า ประเทศไทยได้แสดงความรับผิดชอบต่อมรดกวัฒนธรรมแห่งนี้มาโดยต่อเนื่อง ยาวนาน และเปิดเผย ทั้งในแง่การขึ้นทะเบียน การบูรณะ การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว และการดูแลโดยภาครัฐผ่านหน่วยงานที่ชัดเจน อย่างสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
การที่ผู้นำกัมพูชาในปัจจุบัน เที่ยวมาขู่ และเคลมว่าเป็นของกัมพูชา จึงน่าละอาย และทุเรศมาก
และที่ผ่านมา ไทยเราอนุญาตให้คนกัมพูชาได้มาเที่ยวชมปราสาท ก็ด้วยมิตรภาพอันดีงาม โดยฝ่ายไทยเป็นคนควบคุมดูแลจัดการ ในฐานะเจ้าของสถานที่
ในช่วงปี 2551 ยังมีรั้วกั้นแนวชายแดน โดยทหารไทยเป็นผู้ถือกุญแจเปิด-ปิดตามเวลา หากนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาจะขึ้นมาเที่ยวที่ปราสาทตาเมืองธม จะต้องมารับบัตรคิว ตรวจคัดกรอง ก่อนเข้ามาเที่ยวชม
ภาพที่เห็น คือ การจัดการในสมัยนั้น รมช.กลาโหมของกัมพูชา นายทหารของกัมพูชาในสมัยนั้น ถ่ายภาพนี้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2551 มีภาพของ พล.ท.เจีย มอญ ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 พล.ต.กนก ผบ.กกล.สุรนารี (ยศในขณะนั้น), พล.อ.เนียง พาด รมช.กลาโหม และ พล.ต.สลัยดึ๊ก (ยศในขณะนั้น) เป็นหลักฐานยืนยันว่า การจัดการในขณะนั้นเป้นอย่างไร และฝ่ายกัมพูชาก็ยอมรับด้วยดี
แต่ในช่วงที่มีการสู้รบ ปี 2554 รั้วกั้นก็หายไป และให้ทหารกัมพูชาเข้ามามีบทบาทในการดูแลนักท่องเที่ยวกัมพูชาอย่างในปัจจุบัน
3. ชั่วร้ายถึงขนาดลอบเข้ามาวางระเบิดในพื้นที่ฝ่ายไทย
แถลงการณ์ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ระบุว่าชัดเจนว่า “...เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยปรากฏข้อเท็จจริง
ว่า มีการลักลอบเข้ามาดำเนินการวางทุ่นระเบิด สังหารบุคคลในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยไทย
เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้กำลังพลของกองทัพไทยได้รับบาดเจ็บ จำนวน ๓ นาย โดยในจำนวนนี้ ๑ นาย ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นสูญเสียอวัยวะและกลายเป็นผู้พิการถาวร
จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด พบว่า ทุ่นระเบิดที่ใช้ เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิดใหม่ซึ่งเพิ่งถูกวางขึ้น โดยจัดวางในลักษณะสนามทุ่นระเบิด และกระจายตัวหลายจุดตามแนวชายแดนในเขตพื้นที่อธิปไตยไทย โดยทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิดดังกล่าวมิได้อยู่ในระบบยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยอย่างชัดเจน และมีลักษณะมุ่งหมายเพื่อก่ออันตรายต่อกำลังพล รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ และยังส่งผลกระทบ ต่อความปลอดภัยของประชาชนในบริเวณใกล้เคียงอย่างมีนัยสำคัญ
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอประณามการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง และขอแสดงการคัดค้านอย่างเด็ดขาดต่อการกระทำใดๆ ที่อาจถือเป็นการละเมิดพันธกรณีและบรรทัดฐานของอนุสัญญา ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Mine Ban Treaty หรือ Ottawa Convention)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าทั้งราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ต่างเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาฉบับนี้ และได้ให้คำมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างครบถ้วน อันรวมถึง การยุติการใช้และสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ตลอดจนการดำเนินการเก็บกู้ และทำลายทุ่นระเบิดที่ยังตกค้างภายในประเทศ เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนโดยรวมในระยะยาวในฐานะหน่วยงานหลักของประเทศไทยด้านปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอเรียกร้องให้ราชอาณาจักรกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน รวมถึงดำเนินมาตรการทางกฎหมายต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมทั้งดำเนินมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะนี้อีกในอนาคตนอกจากนี้...”
4. ผู้สื่อข่าวสายทหารของไทย คุณวาสนา นาน่วม ได้แฉให้เห็นพฤติการณ์ทหารกัมพูชาเป็นลำดับ ระบุว่า
“...มี.ค.- เม.ย.2568 ทหาร กัมพูชาได้นำกำลังทหารเข้ามาวาง และขุดคูเลต และ รุกล้ำอธิปไตยไทยประมาณ 150 ม. บริเวณต้นพญาสัตบรรณ ฝ่ายทหารไทยได้พยายามแก้ไขปัญหา โดยสันติ ด้วยการเจรจาให้ถอนกำลังออกไป แต่ฝ่ายกัมพูชาแข็งกร้าว ยืนยันไม่ถอนกำลัง
จนนำไปสู่การใช้อาวุธ เมื่อ 28 พ.ค. 2568 ที่ทหารไทย เข้าไปเจรจากดดันให้ทหารกัมพูชา ออกจากแผ่นดินไทยไป จนฝ่ายทหารกัมพูชา ยิงใส่ทหารไทยก่อน และมีการปะทะกันเกิดขึ้น ทหารกัมพูชา เสียชีวิต 1 นาย
ผบ.ทบ.ไทย-กัมพูชา เจรจากัน ที่ช่องจอม สุรินทร์ เสนอให้ ทหารกัมพูชา ถอยออกจาก แนวต้นพญาสัตบรรณ 200 เมตร (คือ ถอยออกจากที่ล้ำแผ่นดินไทย 150 เมตร และถอยเข้าไปพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน อีก50 เมตร รวม 200 เมตร) แต่ ผบ.ทบ. กัมพูชา ยืนยัน ไม่ถอย โดยอ้างว่าอยู่มาตั้งแต่ก่อนทำ MOU ปี 2543
ตั้งแต่ 1 มิย.2568 มีรายงานการข่าวภาคสนามว่า ทหารกัมพูชา วางทุ่นระเบิด เพื่อป้องกันที่ตั้งของตนเอง
ฝ่ายไทยได้ใช้กลไกทางทหาร ในระดับพื้นที่ประสานการปฏิบัติ จนนำไปสู่การปรับกำลังในพื้นที่ช่องบก เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2568 ทหารกัมพูชา ยอมถอยออกจากพื้นที่กลับไปสู่แนวศาลาตรีมุขเดิม
ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้กำหนดจุดประสานงานให้ชุดประสานงานพบปะกันสัปดาห์ละ 3 วัน และให้แต่ละฝ่ายเดินลาดตระเวนในดินแดนภายใต้อธิปไตยของตน
ทหารกัมพูชา ถอนกำลังออกไป แต่ไม่ได้เก็บกู้ทุนระเบิดที่วางเอาไว้ออกไปด้วยแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เมื่อถอนกำลังออก ยังมีการวางสนามทุ่นระเบิดใหม่นับร้อยลูก เพิ่มอีก
วันที่ 15 ก.ค. 2568 ทหารช่าง ชุด ช. ร้อย.ร. 6021 ตรวจพบทุ่นระเบิด PMN 2 จำนวน 4 ลูกในพื้นที่ ช่องบก
วันที่ 16 ก.ค. 2568 ทหารไทยได้เดินลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จากฐานปฏิบัติการมรกต ไปเนิน 481 ซึ่งอยู่ในดินแดนอธิปไตยของไทย แล้วเหยียบกับระเบิด จนได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด PMN2 ในจำนวนนี้ 1 นาย พลทหารคนเหยียบ ข้อเท้าซ้ายขาด จนแพทย์ต้องตัดขา
วันที่ 18 ก.ค. 2568 หน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (นปท.3) เข้าพิสูจน์เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เกิดเหตุ พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN 2 ที่ผลิตในรัสเซีย รวมจำนวน 8 ลูก ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ พร้อมพบว่ามีการวางสนามทุ่นระเบิดใหม่ อีกนับร้อยลูก
โฆษกกองทัพบก และ แม่ทัพภาค 2 ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN 2 ไม่เคยมีใช้ในกองทัพไทย แต่มีใช้ในกองทัพกัมพูชา เป็นกับระเบิดที่วางใหม่ ซึ่ง นอกจากจุดที่ทหารไทยเหยียบแล้วยังพบวางกระจาย อยู่ในพื้นที่นับร้อยลูก
สรุปได้ว่า ฝ่ายทหารกัมพูชาได้วางป้องกัน ที่ตั้ง ในห้วงที่วางกำลังทหาร รุกล้ำอธิปไตยไทย และวางเพิ่มเติม ไว้ในห้วงปรับกำลังออกไป จาก แนวต้นพญาสัตบรรณ ช่องบก ซึ่งถือว่าละเมิดต่ออนุสัญญาออตตาวา ที่ห้ามใช้และสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล...”
5. เมื่อวานนี้ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ยืนยันว่า กองทัพไม่นิ่งเฉย แต่การเมืองเป็นเรื่องของรัฐบาล ก็ว่ากันไป แม้ว่าทางกัมพูชาจะออกมายืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้วางทุ่นระเบิด หากกระทรวงการต่างประเทศของไทยเราเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที่ ก็จะสร้างความเสียหายแก่ศักดิ์ศรีของประเทศกัมพูชาเช่นกัน เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่ต้องดำเนินการ ในส่วนของทหารก็ได้ดำเนินการประท้วงไปแล้ว
การเดินลาดตระเวนทางทหาร จะไม่ทำแบบเก่า ไม่เอาลูกน้องไปเสี่ยง แต่จะใช้รถไถ หากเหยียบระเบิดก็ให้ระเบิดไป
การสร้างรั้วกั้นชายแดนในบางจุด สำหรับพื้นที่กลุ่มปราสาทตาเมือน กัมพูชาไม่ยอมรับว่าเป็นของไทย หากจะทำรั้วต้องยิงกัน ยึดพื้นที่กันให้ได้
การจัดระเบียบการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวทุกชาติสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของไทย หากมีการก่อกวน หรือมีเรื่องชกต่อย จะสั่งปิดปราสาททันที 1 สัปดาห์ เพื่อจัดระเบียบใหม่ และขณะนี้ มีตำรวจภูธรภาค 3 มาสนับสนุนกองร้อยควบคุมฝูงชน และเจ้าหน้าที่ทหารพรานเข้ามาช่วยในพื้นที่ และคัดกรองอาวุธต่างๆ ก่อนเข้าไปยังตัวปราสาท
“ทางกัมพูชาขอไม่ให้เราปิดปราสาท ผมได้พูดคุยกับทาง พล.ต.เนี๊ยะ วงศ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เน้นย้ำ ต้องควบคุมคนของตัวเองให้ได้ หากคุมไม่ได้ ก็จะปิดปราสาท หรือเข้ามาป่วนทำอะไรที่น่าเกลียด แสดงเชิงสัญลักษณ์ ถือว่าคุมคนของตัวเองไม่ได้ ผมจะปิด เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย และย้ำไปว่า ให้กัมพูชาคัดกรองนักท่องเที่ยว กลุ่มฮาร์ดคอร์ ไม่อยากให้ขึ้นมา โดยจำกัดนักท่องเที่ยวไม่เกินวันละ 100 คน”-แม่ทัพภาคที่ 2
ขอสนับสนุนทหารไทย ปกป้องอธิปไตยเหนือแผ่นดินไทยเต็มที่ สมคำถวายสัตย์ปฏิญาณ
ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี