ทางการกัมพูชาได้ปลูกอคติต่อชาติไทย ลงในใจเยาวชนกัมพูชาตลอดมา
โดยกัมพูชาทำหนังสือแบบเรียน สอนให้เกลียดไทย มีอคติต่อไทยตั้งแต่เด็ก
เป็นอคติที่ตกยุค ตกสมัย
เพราะในความเป็นจริง แรงงานกัมพูชาคือปัจจัยการผลิตสำคัญของเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้แก่คนกัมพูชา โอนเงินกลับบ้านแต่ละปีมหาศาล (และในความขัดแย้งครั้งนี้ ความจริง ฝ่ายไทยไม่ได้ขับไล่แรงงานกัมพูชาเลย มีแต่ฮุนเซนที่ปลุกปั่นให้กลับบ้าน)
นอกจากนี้ คนกัมพูชาก็นิยมสินค้าและบริการ รวมถึงวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทยอย่างยิ่ง (มีความพยายามปลุกปั่นช่วงหลังความขัดแย้งนี่เอง (ฮุนเซนห้ามละคร การแสดงไทย ในทีวีกัมพูชา)
1.บทความ เรื่อง “ภาพแทน “ไทย”ในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา” โดย รศ.ชาญชัย คงเพียรธรรม ม.อุบลราชธานี
บทความนี้ ได้ศึกษาภาพแทนไทยที่ปรากฏในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา
ผลการศึกษา พบว่า ภาพแทนไทยที่ปรากฏมีอยู่ 7 ลักษณะ คือ
“1. ไทยคือคนป่าที่อพยพลงมาจากทางตอนใต้ของจีน
2. ไทยเป็นโจรที่ปล้นแผ่นดินและวัฒนธรรมเขมร
3. ไทยเป็นศัตรูของชาติ
4. ไทยเนรคุณเขมร
5. ไทยเคยพ่ายแพ้ให้แก่พม่า
6. ไทยมีกษัตริย์ที่ดี
และ 7. การเมืองไทยวุ่นวาย”
2. กัมพูชามุ่งสร้างไทยเป็นศัตรูของชาติ เพื่อสร้างชาตินิยม
รศ.ชาญชัย ชี้ชัดว่า “จุดอ่อนของแบบเรียนดังกล่าว คือ ความถูกต้องของข้อมูลทางประวัติศาสตร์
และการนำเสนอโดยใช้ภาษาวรรณกรรมที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป
ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความจงใจของผู้จัดทำที่ต้องการสร้างความรู้สึกชาตินิยม ด้วยการสร้างศัตรูของชาติขึ้นมา”
3. เนื้อหาแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ที่สร้างความรู้สึกติดลบต่อไทย
รศ.ชาญชัย ได้หยิบยกมาชี้ให้เห็นชัดๆ ยกตัวอย่าง
3.1 “ไทย” คือกลุ่มคนป่าที่อพยพลงมาจากทางตอนใต้ของจีน
ในแบบเรียนวิชา “ศึกษาสังคม” ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้กล่าวถึงไทยว่าเป็นกลุ่มคนป่าที่อพยพลงมาจากทางตอนใต้ของจีน
3.2 ไทย เป็น “โจร” ที่ปล้นแผ่นดินและมรดกทางวัฒนธรรมของเขมร
ในแบบเรียนวิชา “ศึกษาสังคม” ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้กล่าวถึงไทยว่าเป็น “โจร”ที่เข้ามาแย่งชิงแผ่นดินและขโมยศิลปวัฒนธรรมเขมร
3.3 ไทยเป็นศัตรูของชาติ
ในแบบเรียนวิชา“ศึกษาสังคม”ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้กล่าวถึงสงครามระหว่างเขมรกับสยามหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น ตอนที่สยามสามารถเข้ายึดเมืองพระนครได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 2
3.4 ไทยเนรคุณเขมร
วาทกรรมเรื่อง “สยามเนรคุณเขมร”(เสียมรมิลคุณแขฺมร) ปรากฏอยู่บ่อยครั้งในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์เขมร นอกจากนี้ แบบเรียนวิชาศึกษาสังคมระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (Ministry of Education, Youth and Sport, 2015, pp. 118-119) ยังได้กล่าวอีกว่า ใน ค.ศ. 1588 สยาม (กองทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ได้ยกทัพเข้ามาตีเขมรผ่านทางเมืองบันทายมีชัย พระตะบอง โพธิสัตว์ จนกระทั่งเข้ามาล้อมเมืองละแวกไว้นานถึง 3 เดือน หากแต่ไม่สามารถตีเมืองละแวกให้แตกพ่ายได้ จนต้องถอยทัพกลับไป เพราะขาดเสบียงอาหารและเกิดโรคระบาด แต่ก่อนที่จะยกทัพกลับ สยามได้ใช้กลอุบายด้วยการสาดเงินพดด้วงเข้าไปในป่าไผ่ ซึ่งเขมรใช้เป็นกำแพงเมืองตามธรรมชาติ เมื่อสยามยกทัพกลับไปแล้ว ชาวบ้านจึงชวนกันออกมาแผ้วถางป่าไผ่เพื่อหาเก็บเงินพดด้วง ต่อมาใน ค.ศ.1594 สยามได้ยกทัพเข้ามาตีเมืองเขมรอีกครั้ง คราวนี้
ทัพสยามสามารถยึดครองเมืองบันทายละแวกได้อย่างง่ายดาย พระเจ้าสัตถาที่ 1 พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์จึงได้พากันเสด็จหนีไปยังลาวใต้ก่อนที่จะสวรรคตลงใน ค.ศ. 1596 ส่วนพระเจ้าศรีสุริโยพรรณพระราชอนุชา ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระบรมราชาที่ 7 (ค.ศ.1603-1618) ได้ถูกสยามจับตัวไปได้
เช่นเดียวกับในแบบเรียนวิชา “ประวัติวิทยา” ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่กล่าวถึงสงครามใน ค.ศ. 1588 และ “มูลเหตุในการเสียบันทายละแวก”
3.5 ไทยเคยพ่ายแพ้ให้แก่พม่า
ในแบบเรียนวิชา “ศึกษาสังคม” ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่เน้นถึงช่วงที่ไทยพ่ายแพ้พม่า
เพื่อนำเสนอให้เห็นว่า ไทย ไม่ใช่ชาติที่ยิ่งใหญ่ แม้จะเคยมีชัยชนะเหนือเขมร แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่พม่าถึง 2 ครั้ง
ฯลฯ
4.สรุป
รศ.ชาญชัย ให้ความเห็นว่า สิ่งที่แบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา ควรพิจารณาทบทวน คือ
1) แบบเรียนดังกล่าวควรมีการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ชื่อบุคคลหรือสถานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญนั้นๆ ขึ้น เพราะการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาด ย่อมลดความน่าเชื่อถือของแบบเรียนลง
และ 2) แบบเรียนเป็นงานเขียนเชิงวิชาการ จึงควรนำเสนอข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมากกว่าข้อคิดเห็นหรืออารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวเพื่อลดการชี้นำทางความคิด และเป็นการสร้างทัศนคติที่ไม่ดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน
รศ.ชาญชัย ชี้ว่า การที่แบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา บรรจุข้อคิดเห็น อารมณ์ความรู้สึกที่มากจนเกินพอดี และใช้ภาษาที่เต็มไปด้วยคำที่ทำให้เกิดจินตภาพ หรือโวหารภาพพจน์ทำให้งานวิชาการดังกล่าวมีลักษณะไม่ต่างไปจากงานวรรณกรรม
เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้พันธกิจสำคัญ คือ การสร้าง “ศัตรูของชาติ” บรรลุผลนั่นเอง
ศัตรูหมายเลข 1 (และเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้)ของเขมร ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ที่ปรากฏในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาของกัมพูชา จึงเป็น “สยาม” หรือ “ไทย” คนป่าที่อพยพลงมาจากทางตอนใต้ของจีน และเข้ามายึดครองดินแดนที่เคยเป็นของคนเขมร
ไม่เพียงแต่เท่านั้น คนกลุ่มนี้ยังได้แย่งชิงมรดกทางวัฒนธรรมต่างๆ ของเขมรไปเป็นของตนอีกด้วย เช่น ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี ดนตรีและนาฏศิลป์ เป็นต้น
สยามหรือไทย ทำให้เมืองพระนครอันเรืองโรจน์ต้องถึงกาลล่มสลาย
สยามเข้ามากดขี่ข่มเหงชาวเขมรอย่างไร้ความปรานี
นอกจากนี้ ยังเป็นพวกที่ชอบเนรคุณ ทั้งๆ ที่เขมรเคยไปช่วยรบกับพม่าให้ แต่กลับไม่สำนึก
การสร้าง “ศัตรูของชาติ” ขึ้นมานี้ ก็เพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนเขมรรู้สึกรักชาติมากขึ้น ตระหนักถึงความสำคัญของ “ความสมัครสมานสามัคคี” เพื่อเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน คือ ผนึกกำลังต่อสู้กับศัตรูของชาตินั่นเอง
แบบเรียนวิชาศึกษาสังคมและประวัติวิทยาของเขมร ยังคงสอนประวัติศาสตร์แบบจารีต ปลูกฝังวิธีคิดแบบ “ล้าหลัง คลั่งชาติ” (Chauvinism) ให้แก่เด็กและเยาวชน แบ่งแยกความเป็น “พวกเรา” และ “พวกเขา” จนทำให้เกิดความขัดแย้งตามมาเป็นระลอกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แทนที่แบบเรียนจะสอนให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ โดยไม่ติดอยู่ใน “กับดัก” ของอดีต รู้จักนำประสบการณ์มาปรับใช้เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดปัจจุบัน และสร้างอนาคตที่ดีร่วมกันของทั้งสองแผ่นดินให้เกิดขึ้น
5.จากข้อเขียนงานวิจัยข้างต้น ทำให้เรามองให้เห็นความเชื่อมโยง ยุทธวิธีที่ผู้นำกัมพูชานำมาใช้ เพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อหวังผลทางการเมืองของตนเอง
โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทั้งต่อคนกัมพูชาและประเทศไทย ก็คือการดำเนินการจากพื้นฐานอคติที่แบบเรียนกัมพูชาพยายามปลูกฝังไว้นั่นเอง
นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
และการที่รัฐบาลกัมพูชามีแนวทางการเมืองที่เน้นเรื่องชาตินิยม ทําให้แนวทางในการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในประเทศกัมพูชายังคงเป็นไปในทิศทางนี้ ก่อให้เกิดแนวคิดและทัศนคติที่ถูกปลุกปั่น ใช้ประโยชน์ทางการเมืองเช่นนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ปัจจุบัน ในโลกยุคสังคมข่าวสาร คนกัมพูชาจึงอ่อนไหว หลงเชื่อ Fake News, Hate Speech และการปลอมคลิปด่าไทยในโซเชียลอย่างง่ายดาย (ครั้งก่อน เชื่อข่าวลือดาราสาวไทย ก็ไปเผาสถานทูต)
ความจริง เรื่องราวที่ปลูกฝังในแบบเรียน จนกลายเป็นทัศนคติ ความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม อคติของคนกัมพูชานั้น คลาดเคลื่อนจากข้อมูลหลักฐานข้อเท็จจริงอย่างมาก
และที่สำคัญ เป็นอคติที่ขัดแย้งกับสภาพสังคมเศรษฐกิจในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งไทยกับกัมพูชามีเศรษฐกิจและสังคมที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างมาก และเกิดผลดีกับทั้งสองฝ่าย หากไม่มีการปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง เพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง โดยนักการเมืองผู้มีอำนาจของกัมพูชาเอง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี