เมื่อเดือนเมษายนนี้ ภายหลังการประชุมสมัชชาใหญ่ที่สมาชิกได้เข้าร่วมประชุมกันทั่วประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้มีมติที่ 68 ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ประเทศเวียดนามจะมีระบบ
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีหรือทุนนิยมโดยภาคธุรกิจเอกชนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2045 เป็นต้นไป แทนที่จะเป็นระบบผสมผสานระหว่างวิสาหกิจรัฐ กับธุรกิจเอกชน โดยมีพรรคเป็นผู้บงการกำกับดูแล เท่ากับว่าจากบัดนี้ไปเวียดนามจะเริ่มทยอยสลายตัวของการเกี่ยวข้องของภาครัฐโดยคำสั่งของพรรค ในการมีบทบาททางด้านเศรษฐกิจ และคู่ขนานกันไปก็จะค่อยๆ ปรับให้ทางภาคธุรกิจเอกชนเข้ามามีบทบาทและรับภาระเรื่องเศรษฐกิจของประเทศให้มากขึ้นเป็นลำดับ และครอบคลุมเศรษฐกิจทั้งหมดในที่สุด
จากอีกมุมมองหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงเวียดนามจากเศรษฐกิจที่รัฐนำพา (State-led economy) มาเป็น Mixed economy ระหว่างรัฐกับเอกชน มาเป็น Private sector-led economy เอกชนนำพาทั้งหมด ดังเช่น ประเทศทุนนิยมหรือตลาดเสรีอื่นๆ โดยเวียดนามก็จะมีกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบกติกาที่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
นัยสำคัญของเรื่องทั้งหมดดังกล่าวก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ประกาศเป็นทางการครั้งแรกที่จะละทิ้งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มาร์กซ์-เลนิน ที่แต่เดิมรัฐโดยพรรคเป็นผู้บงการและดำเนินการเรื่องเศรษฐกิจของประเทศไปอย่างสิ้นเชิง ถือเป็นการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้ พรรคและภาครัฐจะมิใช่เป็นตัวกฎหมายและเจ้าของกฎหมาย เศรษฐกิจของบ้านเมือง หากแต่จะเป็นเพียงผู้ที่ออกกฎหมาย กฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ ให้มีความเป็นสากล เพื่อที่จะอำนวยให้ภาคธุรกิจเอกชนมีการแข่งขันกัน และร่วมกันเป็นผู้นำพาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งและความน่าดึงดูดใจจากแวดวงธุรกิจโลก และเพิ่มพูนขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามในเวทีเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน คู่ขนานไปกับการที่เวียดนามโดยทั่วๆ ไปมีเสถียรภาพทางการเมือง เพราะภายใต้การนำพาของพรรคคอมมิวนิสต์พรรคเดียว ที่มีความแข็งแกร่งและมีความเป็นปึกแผ่น
อย่างไรก็ตาม ก็มีคำถามตามมาว่า เมื่อประชาชนพลเมืองโดยเฉพาะภาคธุรกิจมีสิทธิเสรีภาพและมีความมั่งคั่งแล้ว จะมีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองด้วยหรือไม่? อย่างไร? และหากมี พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจะนิ่งเฉย? จะพยายามครอบงำอำนาจบริหารไปได้อีกนานเท่าใด? หรือว่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามก็คิดคำนึงเรื่องการเปิดเสรีทางการเมืองอยู่แล้ว และรอจังหวะที่เหมาะสม พร้อมด้วยการปูทางเตรียการต่างๆ หรือไม่? ซึ่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามก็คงตระหนักดีในเรื่องนี้ และคงอาจจะคิดด้วยว่า ระบบพรรคเดียวนำพาอาจจะนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปได้ในระดับหนึ่งแต่ในที่สุดแล้วประเทศจะก้าวหน้าไปยิ่งๆ ขึ้น ก็ต่อเมื่อเสรีภาพทางการเมืองและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ จำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไปด้วยกัน
เสมือนคู่แฝดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งแรงกดดันจากมิตรประเทศคู่ค้า ที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย และเศรษฐกิจเสรี ก็คงมีความปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในเวียดนาม และโอกาสที่จะค้าขายร่วมกันได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น หลังจากนี้ไปภาพลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่ต้องนอบน้อมต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะจืดจางหายไปด้วย ความเป็นตัวของตัวเองก็จะเพิ่มความโดดเด่น ความนับหน้าถือตา และความเชื่อมั่นจากมิตรประเทศก็จะเพิ่มพูน เป็นประโยชน์ต่อเวียดนามและต่อความสัมพันธ์ต่างๆ ที่จะเข้มข้นหนักแน่นขึ้น ซึ่งความเป็นไปได้อีกแง่หนึ่ง ก็คือการที่เวียดนามมีศักยภาพขึ้นมาเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีความเป็นผู้นำและเป็นเศรษฐกิจใหญ่ลำดับที่ 2 รองจากอินโดนีเซีย
ในการนี้ก็มีความเป็นไปได้ด้วยว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ โดยเฉพาะไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องเร่งปรับปรุงตัวเองไม่ให้ล้าหลังจนเวียดนามแซงหน้า และทิ้งไปไกล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี