รัฐบาลผสมชุดนี้ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ โดยมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ชักใยและ“ครอบงำ-ชี้นำ”นั้น เวลานี้หมดความชอบธรรม และไร้ความเชื่อถือจากประชาชนคนไทยหมดสิ้นแล้ว
การเดินทางของ“ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะ ไปเจรจา“หยุดยิง”ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย กับ“ฮุน มาเนต”นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมี“อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในฐานะประธานอาเซียน เป็นตัวกลาง และมีตัวแทนสหรัฐกับจีนสองขั้วมหาอำนาจเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยนั้น ประชาชนคนไทยก็ไม่ไว้วางใจอีกด้วยเช่นกัน
เพราะ“ภูมิธรรม เวชยชัย” ใครก็รู้ว่าเป็นทาสรับใช้ของ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งทั้ง“ทักษิณ”กับ“แพทองธาร ชินวัตร”ลูกสาวที่ถูกศาลรัฐธรรมสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่กลายเป็น“โมฆบุรุษ”และ“โมฆสตรี”ในสายตาคนไทย และแม้แต่การเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของสองพ่อลูกคู่นี้ จากการไปเยี่ยมผู้หลบภัยสงครามตามศูนย์พักพิงต่างๆ คนไทยก็ยังกลัวว่าจะเป็น“สายลับ”ที่คอยชี้เป้าให้แก่เขมร
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมวานนี้ชัดเจนว่า ปัญหาระหว่าง“ไทย-กัมพูชา“ที่เกิดขึ้น “เป็นเพราะเหตุเกิดจากคนสองคน สองตระกูลจะต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียครั้งนี้”
คนสองคนและสองตระกูล ก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร”อดีตนักโทษคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินและจำเลยคดีมาตรา 112 กับ“ฮุน เซน”ทรราชของเขมรที่เป็นอาชญากรสงครามผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการก่อสงครามในครั้งนี้ โดยที่เขมรมีเจตนามุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือนในดินแดนไทยเป็นสำคัญ ทำให้ประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์รวมทั้งเด็กบาดเจ็บล้มตายเกือบ 50 คน และต้องอพยพหนีภัยสงครามจากบ้านเรือนของตนเองไปอยู่ในศูนย์พักพิงมากกว่า 1.6 แสนคน
และก็เพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนและสองตระกูล ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเรื่องแหล่งปิโตรเลียม ที่บริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด มูลค่า 2 ล้านล้านบาท และรวมทั้ง“กาสิโน”และการพนันออนไลน์ที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย จึงส่งผลให้รัฐบาลไทยกลายเป็น“รัฐบาลมะเขือเผา”อ่อนปวกเปียก และมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“แพทองธาร ชินวัตร”ผู้ไร้ภาวะผู้นำและขาดสติปัญญา ทำให้ต้องตกเป็นเบี้ยล่างแก่เขมรที่มี“ฮุน เซน”เป็นผู้นำตัวจริงมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนปัญหาจะบานปลายกลายมาเป็นสงครามเต็มรูปแบบที่กัมพูชาเป็นผู้เปิดฉาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแผนการณ์ที่กัมพูชาวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายกัมพูชามีการแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ถึงขนาด พล.จ.เนี๊ยะ วงษ์ ผบ.พลน้อย.ร.42 ของกัมพูชา ซึ่งได้นำคณะแม่บ้านจำนวน 25 คน ขึ้นไปทำกิจกรรม กล่าวถ้อยคำในเชิงข่มขู่เป็นภาษาไทยและภาษาเขมรกับทหารไทยว่า "ห้ามทหารไทยเหยียบพื้นที่นี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าจะยิงก็ยิง" หลังจากนั้นก็เหตุการณ์เผาศาลาตรีมุข ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ตามมาด้วยรุกล้ำอธิปไตยไทยขุดสนามเพลาะที่ช่องบกและเกิดการปะทะกัน จนกระทั่งทหารไทยเหยียบกับระเบิดสังหารบุคคล 2 ครั้ง ก่อนกัมพูชาจะเปิดฉากสงครามโจมตีเป้าหมายพลเรือนในดินแดนไทยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ยกมาให้เห็นว่าก่อนมาสู่สงคราม “ทักษิณ ชินวัตร”เพื่อนรักของ“ฮุน เซน” ได้ไปพูดในงานครบรอบ 25 ปีเนชั่นทีวี เมื่อที่ 30 พฤษภาคม 2568 โดยบอกว่า กรณีความขัดแย้งทางการทหารที่เกิดขึ้นที่บริเวณช่องบกว่า ยุติลงแล้ว เนื่องจากผู้ใหญ่ของทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สามารถคุยกันรู้เรื่อง ประกอบกับความสัมพันธ์ทางการทหารก็มีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นเดียวกัน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “การกระทบกระทั่ง”ในพื้นที่ของทหารชั้นผู้น้อยเท่านั้น
“ทักษิณ ชินวัตร”พูดด้วยความมั่นใจว่า “ทั้งสองรัฐบาลคุยกันตลอด ผมกับท่านฮุน เซน คุยกันตลอดอยู่แล้ว ทุกฝ่ายถือว่าต้องอย่าเติมเชื้อ เป็นเรื่องการกระทบกระทั่งที่ชายแดน แทนที่จะยิงกันก็เปลี่ยนมาเป็นเตะตะกร้อด้วยกันซะก็หมดเรื่อง”
อย่างไรก็ตาม สงครามในครั้งนี้ที่กัมพูชาเป็นผู้ก่อได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กองทัพไทยนั้นแข็งแกร่งและเหนือกว่าในทุกๆ ด้าน ขืนฝ่ายกัมพูชาดึงดันจะรบต่อไปก็มีแต่จะสูญเสียและพ่ายแพ้ในที่สุด จึงคิดจะใช้“โต๊ะเจรจา”เป็นที่ยุติ
สุดท้ายการประชุมก็เป็นไปตามความต้องการของกัมพูชา คือ การประชุม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ระหว่าง“ภูมิธรรม เวชยชัย” กับ “ฮุน มาเนต” โดยมี“อันวาร์ อิบราฮิม” เป็นตัวกลาง และมีตัวแทนจีนกับสหรัฐอเมริกา เป็นผู้สังเกตการณ์ เห็นชอบร่วมกันในเบื้องต้น “หยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข” โดยมีผลตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนเมื่อคืนนี้
ขณะที่คนไทยทุกๆ ฝ่ายเห็นว่า ข้อสรุปที่เห็นชอบให้มีการหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข หรือ“สันติภาพชั่วคราว”บนโต๊ะเจรจาครั้งนี้ ไม่ใช่คำตอบ เพราะการกระทำของเขมรที่เป็นอาชญากรผู้ก่อสงครามกับไทยในครั้งนี้ เท่ากับกลายเป็นว่า เลือดและชีวิตคนไทยที่ถูกสังเวยด้วยสงครามอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวของทรราชสองตระกูลไทยและเขมร ไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย ถือว่า“ตายและเจ็บฟรี” และจากนี้ไปหากกัมพูชาไม่รักษาคำพูด ถามว่าใครจะรับผิดชอบ
ที่ถูกต้องแล้ว ประเทศไทยจะต้องใช้เงื่อนไข“ชนะการรบในสนาม” กำหนด“การรบบนโต๊ะเจรจา”กับกัมพูชา โดยต้องบังคับให้กัมพูชายอมรับการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 โดยเฉพาะ MOU 43 ที่ทำให้ไทยตกเป็นเบี้ยล่างกัมพูชามาตลอด จากการที่กัมพูชายึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ในการสำรวจและปักปันเขตแดน แทนที่จะเป็นมาตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่น ที่เป็นหลักปฏิบัติสากล
สำคัญที่สุด รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการฟ้องร้องสองพ่อลูกตระกูลฮุน คือ“ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ฐานกระทำความผิดอาชญากรรมร้ายแรง ด้วยการก่ออาญากรรมต่อมนุษยชาติ, อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมรุกราน
มีแต่หนทางนี้เท่านั้น ที่จะหยุดปัญหาข้อพิพาทระหว่าง“ไทย-กัมพูชา” และหยุดความชั่วร้ายป่าเถื่อนของ“ฮุน เซน”ทรราชผู้กระหายสงครามได้อย่างถาวร !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี