ถึงเวลาแล้ว ที่ประชาชนทุกฝ่ายจะต้องสามัคคีกัน ลุกขึ้นขับไล่รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำชุดนี้ไปให้พ้นๆ เสียที ขืนปล่อยให้“ทักษิณ ชินวัตร”กับ“แพทองธารชินวัตร” สองพ่อลูกคู่นี้ขึงพืดประเทศไทย โดยการ“ครอบงำ-ชี้นำ”รัฐบาลต่อไป บ้านเมืองวิบัติฉิบหายแน่
การดินเนอร์ของ สส.และรัฐมนตรี 11พรรคร่วมรัฐบาล ที่พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อคืนวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณโรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท ถูกจัดขึ้นภายใต้ชื่องานสุดยิ่งใหญ่ “Pheu Thai Party(พรรคเพื่อไทย) สามัคคีประเทศไทย ปกป้องอธิปไตย แก้ปัญหาเพื่อประชาชน” ฟังดูแล้วก็เหมือนงานอีเว้นท์“เลหลัง”ขาย“สินค้าเสื่อมคุณภาพ” แต่ในทางตรงกันข้าม ถือว่าเป็นการเปิดตัวแบบไม่ต้องปิดหน้าชกของ“ทักษิณชินวัตร” ว่าเขาคือ“ศูนย์กลางอำนาจ”ที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้
งานนี้“แพทองธารชินวัตร” นายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ กรณีถูก 36สว.ร้องให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเรื่อง“คลิปอัปยศ” เป็นผู้นำทีมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต้อนรับ“บุคคลนอก” คือ อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่มาร่วมงานโดยไม่เคารพยำเกรงกฎหมายบ้านเมืองกันต่อไปอีกแล้ว ซึ่งผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นรัฐมนตรี ต่างมายืนรอรับ“ทักษิณ”แบบนอบน้อมค้อมไหว้เอามือกุมเป้า เห็นภาพแล้วก็ไม่ต่างจาก“นายใหญ่”กับ“ข้าทาสบริวาร”
อย่างไรก็ดี เสียงในโลกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ว่า งานนี้เหมือนกับเป็นการ“เลี้ยงอำลาครั้งสุดท้าย”ของรัฐบาล ที่จะต้อง“สิ้นสภาพ”พร้อมกับ“แพทองธารชินวัตร” ที่มีความเป็นไปได้สูงว่า จะต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณี“คลิปอัปยศ”ในการเจรจากับ“ฮุนเซน” ฐานไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
บันทึกไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า 36 สว.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอน“แพทองธาร ชินวัตร”ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเห็นว่า“แพทองธาร”มีความสัมพันธ์ส่วนตัว และแอบเจรจากับ“ฮุนเซน” ในลักษณะเป็นภัยภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยของไทย อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ซึ่ง“แพทองธาร”เรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหาร หรือสภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า“uncle” และเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า“ฝั่งตรงข้าม”
และในงานดินเนอร์ที่“โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท” ก็ปรากฏว่า “แพทองธาร ชินวัตร”ได้ใช้เวทีนี้แก้ตัว และเชื่อมั่นว่าตนเองจะรอด-โดยกล่าวว่า
“ดิฉันก็ยังมั่นใจอีกเรื่องในเรื่องของเจตนาอันบริสุทธิ์ ที่จะรักษาไว้ซึ่งชีวิตของพี่น้องประชาชน รักษาไว้ซึ่งชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร การยึดหลักในเรื่องของสันติวิธีเป็นสิ่งที่สำคัญ และหวังว่าสิ่งพวกนี้จะสามารถพิสูจน์ในเรื่องของกระบวนการต่างๆได้ และดิฉันจะได้มีโอกาสกลับมาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน รับใช้พี่น้องประชาชน รับใช้สถาบัน และได้มีโอกาสกลับมาทำงานร่วมกับทุกท่านอีกครั้ง”
ขณะที่“ทักษิณชินวัตร”ประกาศว่า “เสียงปริ่มน้ำ”ของรัฐบาลนั้นสามารถบริหารจัดการได้ โดยย้อนอดีตไปไกลถึงเมื่อ 51 ปีที่แล้ว สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช ที่พรรคกิจสังคมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ระหว่างปี 2518-2519 ซึ่งเมื่อฟังหางเสียงระหว่างบรรทัดแล้ว ก็คงพอจะมองออกว่า“ทักษิณ”จะบริหารจัดการอย่างไร
“ทักษิณ ชินวัตร”อ้างว่า เมื่อ 51 ปีที่แล้ว ตอนอายุ 25 ปีสมัยเป็นนายตำรวจติดตามนายปรีดา พัฒนถาบุตรซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และเป็นวิปรัฐบาลของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช นั้น ควบคุมเสียงโดยใช้วิธีดังที่“ทักษิณ”บอกว่า
“ในสมัย 51 ปีที่แล้ว ผมมีบทบาทในการควบคุมสส.ให้มาโหวตในกฎหมายสำคัญทุกรอบ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ หรือกฎหมายสำคัญของรัฐบาล ผมต้องไปอยู่ในสภาฯ ต้องไปไล่ตามหัวหน้าพรรคต่างๆ และทำบัญชี ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เพื่อให้ผู้แทนฯทั้งหลายได้อยู่ในสภาฯให้เรียบร้อย และมั่นใจว่าเราชนะโหวต ก็ประคองอยู่พักนึง”
คำว่า“ทำบัญชี” และ“ละไว้ในฐานที่เข้าใจ” ตามที่“ทักษิณชินวัตร”พูดนั้น ถ้าฟังจากคำพูดที่“ทักษิณ”พูดต่อจากนั้น ก็จะรู้ว่าทำไมถึงต้องทำ“บัญชี” และทำไมต้อง“ละไว้ในฐานที่เข้าใจ”
โดย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ไขรหัสเองว่า “จากที่ผมมีประสบการณ์มา 51ปี มีความรู้สึกว่า วันนี้ดีกว่าวันนั้นเยอะ และวันนี้ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นเด็กอายุ 25ปี ที่วิ่งไล่ตะครุบสส.ให้มาประชุม แต่อย่างน้อยวันนี้ความเป็นพี่ๆ ของทุกท่านมาก่อน บางคนอาจเป็นรุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะผมก็ 76ปีแล้ว ยังง่ายกว่า เพราะวันนั้นยังทำได้ วันนั้นยังต้องไปขอเงินคนอื่นมาใช้ วันนี้ยังพอมีเงินใช้ น่าจะโอเคกว่า จึงมั่นใจเราว่าสามารถประคองรัฐบาลได้”
ฟังและเห็นการเคลื่อนไหวของ“ทักษิณชินวัตร”แล้ว นอกจากจะเข้าข่ายเป็นบุคคลนอก“ครอบงำ-ชี้นำ”พรรคเพื่อไทย และอีก 10 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลแล้ว
“เงิน”ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการกับ“เสียงปริ่มน้ำ”ของรัฐบาล 11พรรคจำนวน 261 เสียง ซึ่งมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้าน 27 เสียง โดยที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน 5 พรรคมีเสียงทั้งหมด 234 เสียง
นอกจากนั้น อีก 2ย่อถัดจากนี้ เพื่อขยายภาพให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก..จาก“นัย”ที่“ทักษิณชินวัตร”พูดถึง..อันมีเค้าเงื่อนเกี่ยวกับ“เงิน”ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการแก้ปัญหาเสียง“ปริ่มน้ำ”ของรัฐบาล-นั่นก็คือ
“สมัยก่อนรัฐมนตรีมีตั้ง 48 ถึง 49 คน เขาดูแล 1 ต่อ 4 คน ดูแลกันได้อบอุ่น ผมเชื่อว่า วันนี้ถ้าแต่ละพรรคแบ่งรัฐมนตรีให้ความอบอุ่นแก่สส.ก็จะมั่นคง เพราะบางครั้งหากไม่ดูแลก็จะถูกตีท้ายครัว หากดูแลดีๆ ก็ไม่ถูกใครตีท้ายครัว เพราะวันนี้เรามีพวกชอบตีท้ายครัวอยู่”
“ผมอยู่มาจนเป็นปู่แล้ว หวังว่าจะช่วยเป็นกำลังใจให้ทุกท่านทุกคน มีผมอยู่ที่นี่ อย่าว้าเหว่ มีผมอยู่ที่นี่ อยากปรึกษาแวะมาหา อยากกินข้าวด้วยแวะมา เพื่อพวกเราจะทำงานได้อย่างสบายใจ และไม่ต้องไปตกใจกับคะแนนเสียงที่หายไป มันหายไปได้ก็กลับมาได้ หวังว่าทุกคนคงจะมีกำลังใจ และมีผมอยู่ทั้งคน ได้นายกฯอิ๊งค์ แถมพ่อนายกฯอิ๊งค์ไว้ช่วยเป็นที่ปรึกษาก็แล้วกัน”
สรุปแล้ว งานนี้ จาก“Pheu Thai Party (พรรคเพื่อไทย) สามัคคีประเทศไทย ปกป้องอธิปไตย แก้ปัญหาเพื่อประชาชน” ก็กลายเป็นว่า “สามัคคีพรรคร่วมรัฐบาล ปกป้อง‘ทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์’ แก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำ”
จึงสมควรแก่เวลาแล้ว ที่ประชาชนคนไทยจะต้องลุกขึ้นมาขับไล่สองพ่อลูกคู่นี้ออกไป ก่อนที่“หลักนิติรัฐและระบบยุติธรรม”ของบ้านเมือง จะถูก“ทักษิณชินวัตร”เซาะกร่อนบ่อนทำลายไปมากกว่านี้
“ทักษิณ ชินวัตร”ต้องติดคุก และ“แพทองธาร ชินวัตร”ต้องลาออก !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี