สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดเวที “การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการต่อ (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ในฐานะผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เข้าร่วมให้ความคิดเห็น เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นว่า ในปีงบประมาณ 2569 สปสช. ได้เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม และการรับฟังความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกมิติ
ดังนั้น หลังจากการได้ดำเนินการจนมี (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ มาแล้ว จึงขอเปิดรับฟังความคิดเห็นอีกระยะหนึ่งเพื่อให้เกิดการรับฟังที่รอบด้าน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและทำให้ระบบบัตรทองมีความยั่งยืน และเพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนและสิทธิประโยชน์ในระบบฯ ของปี 2569 ดำเนินการได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพ
นางกาญจนา ศรีชมภู ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. ได้ชี้แจงร่างประกาศบริหารกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2569 ในส่วนของสิทธิประโยชน์ใหม่และความเปลี่ยนแปลง ว่า งบกองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2569 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในรัฐสภา โดยคาดว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณเบื้องต้น 265,295 ล้านบาท เมื่อหักเงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ 71,446 ล้านบาท จะเหลืองบฯ เพื่อบริหารกองทุนบัตรทอง 30 บาท ที่จะให้ สปสช.บริหารจัดการทั้งในส่วนงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว และงบประมาณนอกเหมาจ่ายรายหัวราว 193,849 ล้านบาท
ในส่วนสิทธิประโยชน์ใหม่ในปีงบประมาณ 2569 มีทั้งหมด 10 รายการ แบ่งเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (P&P) 8 รายการ ประกอบด้วย สายด่วนเลิกเหล้า, สายด่วนท้องไม่พร้อม, ธนาคารนมแม่, วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบในเด็ก (PCV), วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี, ชุดตรวจคัดกรองติดตามโรคไต และการคัดกรองภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานทางปัสสาวะ,
การตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน และการตรวจคัดกรองออทิสติกด้วยเครื่องมือ TDAS ขณะที่สิทธิประโยชน์อีก 2 รายการ อยู่ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 1 รายการ คือ การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่ระยะสงบ และอยู่ในกลุ่มกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นหรือพื้นที่ (กปท.) อีก 1 รายการ คือ บริการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในชุมชน รวมงบประมาณสิทธิประโยชน์ใหม่ปี 2569 เป็นจำนวน 876.54 ล้านบาท
ส่วนที่ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในปีงบประมาณ 2569 นั้น สปสช. จะกำกับติดตามผลการให้บริการสาธารณสุขที่เกิดขึ้น โดยเทียบกับผลคาดการณ์บริการที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 และตรวจสอบการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการบริการ โดยนำผลการตรวจสอบเอกสารการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IP) ทั่วไปที่สุ่มตรวจโดยไม่มีเงื่อนไขของหน่วยบริการระดับเขตมาประกอบการพิจารณาปรับค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ (SUM AdjRW) ให้ถูกต้อง และใช้คำนวณย้อนกลับในภาพรวมทั้งหมดของการให้บริการ ซึ่ง สปสช.ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2568 และในปี 2569 ก็จะดำเนินการต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีการปรับอัตราจ่ายสำหรับผู้ป่วยนอกทุกที่ (OP Anywhere) จากอัตราจ่ายแบบตามรายการ (Fee schedule) เป็นอัตราจ่ายแบบรายครั้งบริการ (per visit) รวมถึงเพิ่มอัตราจ่ายค่ายานพาหนะสำหรับรับ-ส่งผู้ป่วยด้วย อีกทั้งยังเพิ่มขอบเขตการให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ โดยเน้นกลุ่มเยาวชน จากเดิมมุ่งเน้นกลุ่มเสี่ยงสูง ขณะที่สิทธิประโยชน์ไตวายเรื้อรัง ได้ปรับรูปแบบการจ่ายเป็นงบประมาณปลายปิด
และบริการควบคุมโรคเรื้อรัง มีการปรับอัตราจ่ายตามผลลัพธ์ ในกรณีที่ผู้ป่วยเบาหวานเข้าสู่ระยะสงบของโรคได้ สำหรับในส่วนหน่วยบริการนวัตกรรม 7 หน่วยบริการในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งได้รับจัดสรรวงเงิน 3,770 ล้านบาทโดยประมาณ สปสช. จะบริหารจัดการเป็นงบประมาณปลายปิดเพื่อไม่ให้งบประมาณบานปลาย พร้อมกับได้ปรับลดจำนวนครั้งเข้ารับบริการ และปรับอัตราจ่ายชดเชย-รายการบริการให้เหมาะสม
ด้าน ดร.นันทวัน เกษธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายแผนและงบประมาณ สปสช. กล่าวสรุปข้อเสนอจากการรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) โดยพบว่า ในประเด็นการให้บริการทางการแพทย์ในงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว มีความเห็นระบุว่ายังไม่สะท้อนต้นทุนการบริการที่แท้จริง รวมถึงขอให้จ่ายชดเชยค่าอุปกรณ์-อวัยวะเทียมตามราคาจริง และมีข้อเสนอ อาทิ ให้มีการจัดสรรเงินเหมาจ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แทนโรงพยาบาลแม่ข่าย
ขณะที่พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีข้อเสนอควรแยกกองทุนส่งต่อผู้ป่วยนอก ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว เป็นต้น ในส่วนบริการปฐมภูมิและบริการจากหน่วยบริการนวัตกรรม มีข้อเสนอควรปรับอัตราจ่ายชดเชยค่าบริการ และไม่ควรเหมาจ่ายในอัตราเดียวกันทั่วประเทศ และเห็นด้วยที่จะให้มีบริการจากหน่วยบริการนวัตกรรม หรือคลินิกชุมชนอบอุ่นต่างๆ ในระบบสาธารณสุขแบบนี้ต่อไป เพราะชุมชนได้ประโยชน์ในการเข้าถึงบริการ
ต่อมาในส่วนเวทีอภิปราย และรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการ รวมถึงเครือข่ายวิชาชีพต่างๆ โดยความเห็นต่อ (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ทั้งนี้ ในส่วนความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตต่างๆ จากผู้ให้บริการ และผู้เกี่ยวข้องต่อ (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ สปสช. จะรวบรวมก่อนสรุปเพื่อส่งต่อให้กับที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ในการประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 8/2568 ในวันที่ 4 ส.ค. 2568 ที่จะถึงนี้ เพื่อให้พิจารณาและมีมติเพื่อดำเนินต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี