สะเทือนเลื่อนลั่นวงการสงฆ์ อันสืบเนื่องจากมนตร์ดำของ“สีกากอล์ฟ” หรือนางสาววิลาวัลย์ วัย 35 ปี ที่ทำให้พระราชาคณะระดับ“เจ้าคุณเทพ”ลงมา ทั้งเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งบางรูปก็ครองตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดด้วย ถึงกับต้องลาสิกขาไปตามๆ กัน อีกทั้งยังส่งผลทำให้พระสงฆ์ 81 รูป ถูกยกเลิกการสถาปนา และยกเลิกการตั้งสมณศักดิ์
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศยกเลิกพระบรมราชโองการประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระสงฆ์ 81 รูป
มีความว่า “ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมณศักดิ์พระสงฆ์ จำนวน 4 รูป และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์จำนวน 77 รูป รวมทั้งหมด 81 รูป ตามประกาศพระบรมราชโองการ จำนวน 2 ฉบับ ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2568 นั้น”
“บัดนี้ทรงมีพระราชดำริว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับพระภิกษุ ซึ่งประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป และพระราชาคณะกระทำผิดพระธรรมวินัย เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชน ได้รับผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างยิ่ง จึงประกาศยกเลิกพระบรมราชโองการประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ดังกล่าว”
ในจำนวน 81 รูปนั้น มี 4 รูปที่ถือว่าเป็นสมณศักดิ์ของพระมหาเถระ ในชั้นสมเด็จพระราชาคณะ 1 รูป และรองสมเด็จพระราชาคณะ 3 รูป ซึ่งถูกยกเลิกการสถาปนา
นั่นก็คือ พระพรหมมุนี (บุญเรือง ป.ธ.5) วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ ที่ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมณศักดิ์ เป็น“สมเด็จพระมหาวชิรมุนีวงศ์, พระธรรมโพธิมงคล (สมควร ป.ธ.9) วัดนิมมานนรดี กรุงเทพฯ เป็น“พระพรหมวัชรจริยาจารย์”, พระธรรมวชิรเมธาจารย์ (ยุทธศักดิ์ ป.ธ.6) วัดโสมนัสราวรวิหาร กรุงเทพฯ เป็น“พระพรหมวัชรญาณกวี” และพระธรรมวชิรจินดาภรณ์ (สมคิด ป.ธ.5) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ เป็น“พระพรหมวชิรเมธาภรณ์”
อย่างไรก็ตาม เหตุอันเนื่องมาจาก“สีกากอล์ฟ”นี้ นับว่าเป็นเหตุการณ์ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่พระสงฆ์หลายรูป และมีสมณศักดิ์ระดับพระราชาคณะ เป็นผู้ทำให้“ผ้าเหลืองมีราคิน”พร้อมๆ กันได้ถึงขนาดนี้ จาก“นารีพิฆาต”ที่ชื่อ“สีกากอล์ฟ”
ตามตำนานในสมัยพุทธกาลนั้น มี“นารีพิฆาต”ซึ่งเป็นธิดาพญามารอยู่ 3 คน คือ นางตัณหา, นางราคะ, และนางอรดี โดยนางทั้งสามนี้ถูกส่งมายั่วยวนเป็น“มารผจญ” ขณะพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียร เพื่อขัดขวางไม่ให้ทรงบรรลุ“อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ”
แต่นางมารเหล่านั้น คือ “นางตัณหา”ตัวแทนของความทะยานอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด, “นางราคะ”ตัวแทนของความใคร่ในกามารมณ์ และ“นางอรดี”ตัวแทนของความไม่พอใจไม่ยินดี ก็มิอาจยั่วยวนจนทำให้พระพุทธเจ้าถึงกับตบะแตกได้
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จากการรู้แจ้งถึงอริยสัจ 4 และทรงดับกิเลสทั้งปวงได้ เป็น“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” หรือ“พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ” ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 หรือ“วันวิสาขบูชา”
ลุมาถึงสมัยนี้ในยุคดิจิทัล มารที่มาผจญพระสงฆ์ของไทย ซึ่งไม่ใช่นางตัณหา, นางราคะ และนางอรดี แต่เป็น“สีกากอล์ฟ”นั้น เหตุแห่งปัญหาก็ไม่ใช่เพราะ จะมาขัดขวางไม่ให้พระคุณเจ้าหลายรูปที่วันนี้ต้องกลายเป็น“ทิด” และ“ทิด”บางคนก็มีคดีอาญาติดตัว สำเร็จ“อริยมรรค” แต่เป็น“มาร”ที่มาในรูป“นารีพิฆาต” เพื่อต้องการทรัพย์สินเงินทองของวัดที่อดีตพระคุณเจ้าประดานี้ถือบัญชีอยู่ในมือ
ถ้าจะเปรียบไป “สีกากอล์ฟ”ซึ่งบัดนี้ถูกจับกุมตัวดำเนินคดีแล้ว 7 ข้อหา ก็ไม่ต่างจาก“แก๊งคอลเซ็นเตอร์” แต่เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ลงมือปฏิบัติการเพียงคนเดียว และไม่ได้ใช้โทรศัพท์ในการหลอกลวงเหยื่อ แต่ใช้สำหรับถ่าย“คลิปวีดีโอ”เพื่อ“แบล็กเมล” รวมทั้งใช้ร่างกายล่อเหยื่อให้หลงใหลในตัณหาราคะ เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินเงินทอง จนทำให้พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ระดับพระราชาคณะหลายรูปต้องอาบัติปาราชิก จากการร่วมหลับนอนกับ“มิจฉาชีพ”รายนี้
ข้อหาที่ทำให้“สีกากอล์ฟ”ตกเป็นผู้ต้องหา และถูกตำรวจจับเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น มีทั้งหมด 7 ข้อหา คือ 4 ข้อหาเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินจำนวน 380,000 บาท จากวัดชูจิตธรรมาราม ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเป็นผลทำให้“พระเทพพัชราภรณ์”เจ้าอาวาส นอกจากลาสิขาแล้ว ก็ยังถูกดำเนินคดีด้วย
สี่ข้อหาที่ว่านั้น ก็คือ สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 147, สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 (เนื่องจากสนับสนุนอดีตเจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ กระทำความผิด), ร่วมกันฟอกเงินและสมคบฟอกเงิน และรับของโจร
อีก 3 ข้อหา มีดังนี้ คดีที่เกี่ยวข้องกับ“พระครูสิริวิริยธาดา” อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม หรือ“วัดหลวงพ่อโสธร” จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งลาสิขาแล้ว รวม 2 ข้อหา ได้แก่ รีดเอาทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียเสรีภาพฯ ส่วนอีก 1 ข้อหา เป็นคดีฉ้อโกงเกี่ยวข้องกับ“พระเทพวัชรสิทธิเมธี” อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ที่ลาสิขาแล้วเช่นกัน
สรุปรวมแล้ว จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีพระสงฆ์ที่มีหลักฐานเชื่อมโยงกับ“สีกากอล์ฟ” จากการตรวจพบภาพและคลิปในโทรศัพท์มือถือของ“สีกากอล์ฟ”รวมกว่า 8 หมื่นไฟล์ ได้ลาสิกขาแล้ว 8 คน และนอกจากนั้น จากการตรวจสอบเงินในบัญชีของ“สีกากอล์ฟ” 3 ปีย้อนหลัง ยังพบว่ามีเงินหมุนเวียน 385 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่โอนไปเว็บพนัน ยอดสูงสุดครั้งละ 5 แสนบาท และปัจจุบันเหลือเงินในบัญชีจำนวน 8 พันบาท
ต้องหมายเหตุไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า สมัยปัจจุบันใน“ศตวรรษที่ 21”ยุคดิจิทัลนี้ พระวินัยหรือศีล 227 ข้อ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงวางไว้เป็นข้อกำหนด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของคณะสงฆ์ และเพื่อเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานอันเอื้อเฟื้อต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์ นั้น ยังไม่เพียงพอ และไม่เท่าทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
ทางออกของการแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้ปัญหาในแวดวงพระสงฆ์เลอะเทอะเปรอะเปื้อน“ผ้าเหลือง”ไปมากกว่านี้ อันอาจจะทำให้พุทธศาสนิกชนยิ่งเสื่อมศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น ก็คือ ต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อบังคับใช้ควบควบคู่ไปกับศีล 277 ข้อ
โดยที่เมื่อพระสงฆ์ทำผิด ไม่ว่าจะหลับนอนกับสีกา หรือทุจริตประพฤติมิชอบเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ของวัด ที่ญาติโยมทำบุญ ก็จะต้องถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษเหมือนฆราวาสทั่วไป
ไม่ใช่ลาสิกขาหรือสึกจากการเป็นพระแล้วก็จบ!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี