เมื่อวานนี้ มีความคืบหน้าคดีตรวจสอบเกี่ยวกับนักการเมืองสำคัญ หลายเรื่อง
1. คดีชั้น 14
เมื่อวานนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนคดีติดคุกทิพย์ นัดที่ 7
สอบปากคำ (30 ก.ค. 2568) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ศาลฯ นัดไต่สวน คดีหมายเลขดำ บค.1/2568
กรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ คดีติดคุกทิพย์นัดที่ 7
เป็นการไต่สวนพยาน 1 ปาก ได้แก่ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ช่วงที่นายทักษิณ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ปรากฏว่า ดร.วิษณุ ส่งเอกสารประกอบการเบิกความล่วงหน้าต่อศาล 1 ฉบับ ศาลจึงซักถามเพิ่มเติมในข้อสงสัย
ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ศาลฯ ได้ซักถามในประเด็นรายละเอียดการเข้าไปเยี่ยมนายทักษิณ ในวันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทั้งการแต่งกายของนายทักษิณ รวมถึงรายละเอียดการพูดคุยกับนายทักษิณ
สรุปใจความสำคัญในการเบิกความได้ว่า ในการประชุมทั้ง 2 ครั้งกับ ปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือการรับตัวนายทักษิณจากสนามบินไปศาล และการสำรวจสถานที่คุมขังนายทักษิณที่ต้องมีความพิเศษเหมือนนักโทษทางการเมืองคนอื่น
สาเหตุที่นายทักษิณควรได้คุมขังในสถานที่พิเศษ มี 3 ประการ คือ 1.นายทักษิณเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี 2.นายทักษิณอาจถูกประทุษร้าย 3.ต้องดูแลอาการป่วยของนายทักษิณ
ดร.วิษณุ ระบุว่า ได้ไปสำรวจห้องคุมขังของบุคคลต่างๆ เช่น ห้องคุมขังนายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ห้องคุมขัง นายราเกซ สักเสนา ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ห้องคุมขังนายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นต้น
ดร.วิษณุ ยืนยันว่า ไม่ทราบว่านายทักษิณไปดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษอย่างไร และยืนยันว่าไม่ได้มีการพูดถึงการพักโทษหรือการย้ายตัวคุมขัง
คดีเสร็จการไต่สวน
ศาลฯ นัดฟังคำสั่งวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10 นาฬิกา และมีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย เข้าฟังด้วย
2. หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ให้ข้อมูลพร้อมข้อสังเกตเกี่ยวกับการไต่สวนนัดสุดท้าย ระบุว่า
“วันนี้ เป็นการไต่สวนอาจารย์วิษณุ เครืองาม พยานของนายทักษิณ และเป็นการไต่สวนครั้งสุดท้าย มีประเด็นที่น่าสนใจ
1.อาจารย์วิษณุ ยอมรับว่า การดูแลนักโทษในเรือนจำไม่เท่ากัน เขายังยกตัวอย่างนายราเกซ สักเสนา นายวิโรจน์ นวลแข โดยอ้างเพื่อความปลอดภัย
2.ที่น่าแปลกใจ มีการประชุมในกรณีที่นักโทษรายนี้ป่วยหนัก จะทำอย่างไร โดยอ้างว่านักโทษเคยมีประวัติเจ็บป่วยหลายโรคที่ต่างประเทศ และได้มีการพูดถึง จะต้องไปโรงพยาบาลใด
ถ้าเจ็บป่วย มีการอ้างมาตรา 55 ของพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ซึ่งศาลท่านได้ถามย้ำว่า ปกติแล้วมาตรานี้ ใช้ส่งนักโทษ จะมีเหตุผลสองเหตุผลที่ส่งตัวคือ รักษาแล้วอาการไม่ทุเลาและต้องการพบผู้เชี่ยวชาญ จะใช้เหตุผลใด ฟังคำชี้แจงว่าเพราะอาการน่าเป็นห่วง
3.อาจารย์ได้รับรายงานว่า นักโทษมีอาการหนัก ส่งตัวไปรพ.ตำรวจประมาณเที่ยงคืนของคืน 22 ส.ค. 2567 อาจารย์ก็บอกว่ามีแพทย์หรือพยาบาลจากรพ.ราชทัณฑ์มาดูแล้ว (ซึ่งขัดแย้งจากพยานปากอื่นที่ไม่มีแพทย์หรือพยาบาล จากรพ.ราชทัณฑ์มาดูแลเลย ยกเว้นพยาบาลเวรในเรือนจำ)
4.อาจารย์วิษณุบอกว่า ไปพูดคุยกับนักโทษทักษิณในสถานพยาบาล ไม่มีอุปกรณ์แพทย์ ใส่เสื้อยืดขาว กางเกงขาสั้นไม่แน่ใจสีดำหรือน้ำตาล
5.อาจารย์วิษณุไม่รู้เรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ
ฟังการให้ปากคำของอาจารย์วิษณุ ไม่เป็นคุณต่อนักโทษ เหมือนพยายามที่จะแยกตัวเองออกมา บางครั้งพูดวกวน
ศาลนัดฟังคำสั่งศาล วันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. ที่น่าสนใจนัดหมายจำเลยและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาด้วย”
3. เป็นอันว่า ศาลฯ นัดฟังคำสั่งชี้ขาดคดีชั้น 14 ในวันที่ 9 ก.ย.
น่าสังเกตว่า คำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย เข้าฟังด้วย
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่คู่ความในคดี
แต่มีหน้าที่บังคับโทษตามคำพิพากษาของศาล
ส่วนนายทักษิณ ไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเองในนัดไต่สวน แต่ศาลมีคำสั่งให้เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง
หากนายทักษิณไม่มา ศาลฯ มีอำนาจอ่านคำสั่งลับหลังก็ได้
หากจะต้องนำตัวกลับไปรับโทษตามคำพิพากษาเดิมให้ครบถ้วน ศาลฯ ก็มีอำนาจออกหมายขัง ให้เจ้าหน้าที่เรือนจำไปดำเนินการต่อไปได้เช่นกัน
น่าจะเป็นลางร้ายสำหรับนายทักษิณ
4. คดี มาตรา 112 ทักษิณ
ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษา คดีมาตรา 112 ที่นายทักษิณเป็นจำเลย ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้
ทักษิณถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้พาดพิงสถาบันฯ
แม้นายทักษิณแสดงความมั่นใจในคดี แต่นั่นก็เป็นความมั่นใจของจำเลยที่ไปศาลทุกนัด
5. อย่างไรก็ตาม หากนายทักษิณพ้นผิด ในคดีมาตรา 112 อ่านคำพิพากษาวันที่ 22 ส.ค.
นายทักษิณก็จะพ้นเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราว ที่ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศด้วย
และหากนายทักษิณเดินทางออกนอกประเทศไปจริงๆ นายทักษิณจะเดินทางกลับมาฟังคำสั่งในคดีชั้น 14 ที่ ศาลนัด 9 ก.ย. หรือไม่?
6. ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาให้ครั้งสุดท้าย คดีนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
คดีนี้ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นผู้รัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 18/2568)
สืบเนื่องจากกรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งฝั่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุนเซน จริง
แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว ในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด
ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องก็บอกว่ากับฮุนเซนว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา
ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
เมื่อวานนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่ 2 ของผู้ถูกร้อง ฉบับลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2568
ซึ่งขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดเดิม
อ้างว่าอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้เรียบเรียงทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปจนถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 เป็นครั้งสุดท้าย
เป็นครั้งสุดท้าย
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 31
ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
อนึ่ง กรณีผู้ถูกร้องไม่ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ถูกร้องไม่ติดใจที่จะยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 วรรคสาม
7. เมื่อถึงวันที่ 4 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญก็จะพิจารณาคำชี้แจงของนายกฯ หรือไม่ก็ถือว่าสละสิทธิ
นั่นหมายความว่า หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญสามารถประชุมพิจารณาเพื่อลงมติชี้ขาดคดีได้เลย
เชื่อว่า น่าจะไม่เกินกลางเดือนสิงหาคม
จับตา นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์อาจจะชิงลาออกก่อนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยชี้ขาด หรือไม่?
เพื่อมิให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด อันจะมีผลเสมือนหนึ่งประหารชีวิตทางการเมือง และเป็นเชื้อไฟลามไปถึงพรรคการเมืองที่ตนเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ต่อไปด้วย หรือไม่?
8. สทร. บิดา ดูจะมีลางร้าย 9 ก.ย.
ส่วนนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ อยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็เหมือนเป็นตัวถ่วงประเทศชาติในขณะนี้
ทั้งๆ ที่ บ้านเมืองมีวิกฤตปัญหารุมเร้า รอให้ผู้นำประเทศที่มีศักยภาพ และมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความเข้มแข็งกว่านี้ เข้ามานำพาบ้านเมือง
จะยังอยู่เป็นตัวถ่วงชาติบ้านเมืองไปทำไม อยู่ก็ทำอะไรไม่ได้?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี