ทุกชนชาติก็ย่อมมีความรักชาติบ้านเมืองของตน (Patriotic/Patriotism) เป็นธรรมดา แต่ถ้าจะให้เทียบกันแล้วความรักชาติบ้านเมืองของชาวญวนหรือชาวเวียดนามนั้นไม่น้อยหน้ากว่าชาติใดๆ จนอาจจะโดดเด่นเข้มแข็งกว่าชาติใดๆ เสียอีก
อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า ชาวเวียดนามได้ประสบกับความเจ็บปวดมาตลอดประวัติศาสตร์ แล้วจากการที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำและอิทธิพลของจีนเป็นเวลาร่วม 1,000 ปี แล้วก็มาตกเป็นอาณานิคมของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสอีก100 กว่าปี ก่อนจะมาประสบกับความเป็นเจ้าจักรวรรดินิยมของสหรัฐอเมริกาอีกหลายทศวรรษ
ที่ผ่านมาชาวเวียดนามต้องต่อสู้เพื่อความเป็นเอกราช ควบคู่ไปกับการชิงดีชิงเด่นภายในของตนเอง เกิดเป็นสงครามกลางเมือง ที่มีต้นเหตุมาจากความเห็นต่างในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง เช่นว่า จะเป็นราชาธิปไตย คณาธิปไตย หรือเสรีประชาธิปไตย แต่ในที่สุดเมื่อ 50 ปีที่แล้วโดยประมาณ เวียดนามก็กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้กลุ่มผู้นำที่ฝักใฝ่และยึดมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ของพรรคเดียวนำพา โดยพรรคคุมรัฐ และความเป็นไปทั้งหมดของสังคมแต่ผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม ความรักชาติบ้านเมืองของชาวเวียดนามก็มิได้เสื่อมคลายไปแต่อย่างใด แม้ว่าเวียดนามจะมีลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นเครื่องมือกลไก และธงในการนำพาและขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าไปข้างหน้า ในแง่กลับพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามก็ได้ใช้ความรักชาติบ้านเมืองเป็นการเร้าอารมณ์และเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการร่วมแรงร่วมใจ ในการช่วยกันทำนุบำรุงและขับเคลื่อนประเทศ
ชาวเวียดนามได้ผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน และเมื่อความสงบได้กลับมาสู่บ้านเมืองของเขา เขาก็ต่างมีความปรารถนาและมุ่งมั่นที่จะให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า และชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งใกล้และไกล
จนเมื่อเวียดนามได้ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ทั้งผู้นำ ข้าราชการ และชาวบ้านโดยทั่วไป ก็ตระหนักดีถึงความล้าหลังและความล้าสมัยของเวียดนาม เมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ และประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แต่เขาไม่หมดอาลัยตายอยาก ไม่ย่นย่อท้อถอย แต่เขากลับมีความมุมานะ ตั้งอกตั้งใจที่จะร่วมพัฒนาบ้านเมืองและพัฒนาตัวเอง ดังจะเห็นได้จากการที่ชาวเวียดนามใฝ่เรียนใฝ่รู้ มีความอดทนขยันหมั่นเพียร ซึ่งชาวต่างชาติที่ไปเยือนเวียดนามตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ต่างตระหนักดี และได้เห็นความแตกต่างของเวียดนามเมื่อวันวานกับเวียดนาม ณ วันนี้ ภาพบ้านเมือง และผู้คนที่ถูกทำลาย คนยากคนจนคนพิการมีมากมายในวันนั้น ได้เปลี่ยนเป็นภาพที่ ณ วันนี้ เวียดนามกลับกลายมาเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” และ “โรงงานอุตสาหกรรมโลก” ก้าวขึ้นเป็นประเทศกำลังพัฒนาชั้นแนวหน้าเสียแล้ว
ผู้นำโลกและแวดวงธุรกิจใหญ่ๆ ของโลกให้ความสนใจต่อเวียดนามเป็นการพิเศษ ผู้นำและชาวเวียดนามเองไม่รู้สึกว่ามีความด้อยหรือต่ำต้อยอีกต่อไปแล้ว วันนี้พวกเขามีความมั่นอกมั่นใจในขีดความสามารถของตนเองและในอนาคตของตนเองมากขึ้น ทั้งนี้ ก็มิใช่แค่เพราะความขยันหมั่นเพียร และบทเรียนจากอดีต แต่เพราะความเชื่อมั่นในตนเองซึ่งมาจากความรักชาติ รักบ้านเมือง โดยผู้คนของเขาอยากเก่ง อยากมีความเป็นเลิศ และมีคุณภาพชีวิตที่ไม่น้อยหน้าใคร
คู่ขนานกันไป ในหลายๆ ประเทศที่กำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย ความรักชาติบ้านเมืองในประชาชนก็มีอยู่ หากแต่ขาดความกระตุ้นและความกระตือรือร้น เพราะมิต้องเผชิญกับการต่อสู้และการเจ็บปวดต่างๆ ที่สาหัส อีกทั้งบรรดาผู้นำประเทศก็มักจะทำตัวเป็นผู้ฉวยโอกาส มาเป็นเหลือบมากกว่าที่จะเอาความรักชาติเป็นตัวตั้ง และปฏิบัติตนให้สอดคล้อง
แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะมีการกลับเนื้อกลับตัวและเร่งปรับปรุงตัวเอง ก็ขึ้นอยู่กับว่าความโดดเด่นของเวียดนาม ณ วันนี้ จะเป็นตัวผลักดันให้ไทยเราตื่นจากภวังค์ได้หรือไม่?
ไทยเรามีคนเก่ง มีผู้มีบารมีมากมายแต่รักชาติกันมากน้อยแค่ไหน? และมีความกล้าหาญที่จะเสนอตัวออกมารับใช้บ้านเมืองอย่างจริงจังหรือไม่?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี