อาจจะกล่าวได้ว่า ตลอดประวัติศาสตร์อนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแหลมทอง-สุวรรณภูมิ จัดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ มักจะเต็มไปด้วยเรื่องของความขัดแย้ง แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น รุกรานและครอบงำซึ่งกันและกัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการแลกเปลี่ยนผสมผสานกันไปมาทั้งในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีและ
ความเชื่อถือ และในเรื่องการทำมาค้าขาย รวมถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้โดยเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ ดินแดนสุวรรณภูมิแหลมทองได้รับและสืบทอดอารยธรรมฮินดู-พุทธ ทั้งในเรื่องความเชื่อถือ ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา ศิลปะดนตรี และสถาปัตยกรรม จัดได้ว่าอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเหมือนและคล้ายคลึงกันมากกว่าความต่าง กล่าวได้ว่าเป็นดินแดนที่ไปที่มาจากรากเหง้าเดียวกัน
ต่อมาในยุคการล่าอาณานิคมของฝ่ายยุโรปตะวันตก ชนชาติพันธุ์ต่างๆ ในรูปแบบของอาณาจักร หรือเมืองรัฐ ส่วนใหญ่ได้ตกไปอยู่ในอาณัติของฝ่ายยุโรปตะวันตก ต่างสูญเสียซึ่งความเป็นอิสรเสรีและความเป็นตัวของตัวเอง ยกเว้นเพียงชาวสยาม ไม่ว่าจะเป็นชาวสยามกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สามารถคงความเป็นอิสรเสรีหรือความเป็นเอกราชได้ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะถูกฝ่ายอังกฤษบีบมาทางด้านตะวันตกและภาคใต้ และยังถูกบีบจากฝรั่งเศสจากทางด้านตะวันออก เมื่อใดที่มีการเจรจาปักปันเขตแดนไม่ว่าจะจากฝ่ายอังกฤษ หรือฝ่ายฝรั่งเศส รัฐสยามมักจะเสียเปรียบ เพราะพละกำลังต่างๆ มีความด้อยกว่ามาก แต่ในที่สุดรัฐสยามก็รอดพ้นออกมาได้อย่างสง่างาม
จนกระทั่งเมื่อบรรดาเจ้าอาณานิคมยุโรปได้จากไปในช่วงหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ชาติพันธุ์ต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้รับเอกราช ต่างได้รับบูรณภาพเหนือดินแดนสืบต่อจากรัฐเจ้าอาณานิคมดังกล่าว โดยเฉพาะสนธิสัญญาหรือข้อตกลงปักปันเขตแดน การจัดวางเสาเขตแดน ไปจนถึงการจัดทำแผนที่ต่างๆ
แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ เพราะการเปลี่ยนแปลงด้วยฝีมือมนุษย์ และความต่างระหว่างสิ่งที่ปรากฏบนแผนที่กับสภาพความเป็นจริง การพิพาทว่าด้วยดินแดนทั้งบนบก และในทะเล และแม่น้ำก็ตามมา ถึงขั้นการใช้กำลังปะทะกัน และการไปฟ้องร้องกันที่องค์การระหว่างประเทศในกรอบองค์การสหประชาชาติและเครือข่าย เช่น ศาลยุติธรรมโลก โดยบางแห่งบางประเทศก็สามารถตกลงกันได้ สำหรับไทยกับมาเลเซีย ไทยกับลาว ไทยกับเมียนมา และไทยกับกัมพูชา การเจรจาก็ได้เริ่มขึ้นมานานแล้ว สลับกับการปะทะด้วยกำลังทหารเป็นครั้งคราว ซึ่งเรื่องก็ยังไม่แล้วเสร็จ และทุกฝ่ายก็ต้องมุ่งกันหาข้อยุติโดยวิธีทางสันติ คือการเจรจาทางการทูต
ข้อพิพาทระหว่างไทยกับลาว และไทยกับมาเลเซีย แม้ว่ายังไม่แล้วเสร็จ แต่ก็ยังมีลักษณะเป็นไปด้วยความสงบ เพราะต่างฝ่ายต่างมีความอดกลั้น และมีมิตรไมตรีต่อกัน ในขณะที่ทางด้านเมียนมา ฝ่ายเมียนมาไม่สามารถจะบรรลุข้อตกลงกันได้ เนื่องจากต้องรอให้บ้านเมืองเขาสงบเสียก่อน แล้วจะจัดให้มีการเจรจาทวิภาคีจึงจะเริ่มขึ้นได้อย่างมั่นคง
ส่วนที่กัมพูชาก็เป็นความอับจนของชาวกัมพูชาที่บรรดาผู้นำต่างๆ ของเขาทุกชุด ตั้งแต่เขาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1953 ต่างเป็นกลุ่มผู้นำที่เห็นแก่ตัว และโหดร้ายต่อประชาชนพลเมืองของเขาเอง ซึ่งในขณะเดียวกันก็มักจะใช้เรื่องชาตินิยมไปกลบเกลื่อนความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ ด้วยการหาเรื่องหาราวกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเวียดนาม และไทย แต่เมื่อเสถียรภาพทางการเมืองที่เวียดนามมีความเป็นปึกแผ่นมากกว่าที่ประเทศไทย ทำให้ฝ่ายผู้นำกัมพูชาโดยเฉพาะผู้นำตลอดชีวิตคือ นายฮุนเซน เลือกที่จะใช้ประเทศไทยเป็นเสมือนกระสอบทรายเพื่อหันเหความสนอกสนใจไปจากความตกระกำลำบากของชาวกัมพูชา
การต่อกรกับกัมพูชาก็มักจะไปได้อย่างกระท่อนกระแท่น เพราะการบ้านการเมืองไทยนั้นไร้เสถียรภาพ อีกทั้งก็มีกลุ่มการเมืองไทยบางกลุ่มก็มักจะไปเออออห่อหมกกับกัมพูชา เพื่อมาเล่นการเมืองไทย หรือเพื่อเสริมสร้างสถานะของตนเองที่ประเทศไทย
ฉะนั้น หากฝ่ายไทยจะสามารถต่อกรกับฝ่ายกัมพูชาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ การบ้านการเมืองของไทยต้องก้าวข้ามความขัดแย้งภายในเพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพและมีความมั่นคง
ฝ่ายไทยจึงต้องจัดบ้านจัดเมืองให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด ซึ่งมีความเป็นไปได้เมื่อผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบมีความรับผิดชอบ มีความรักชาติบ้านเมือง และเอาจริงเอาจังกับบ้านเมือง
ในระหว่างนี้ชายแดนไทย-กัมพูชาต้องมีความสงบเรียบร้อย ไม่มีอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่มีการตอแยจากฝ่ายทหารกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยโดยฝ่ายกองทัพไทยก็อยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้เป็นภาระหน้าที่อันชอบธรรม ถูกต้องตามกฎหมายและสะท้อนความปรารถนาและความไว้เนื้อเชื่อใจของปวงชนชาวไทย ซึ่งฝ่ายการเมืองที่ยังล้มเหลวอยู่ ไม่มีความสามารถหรือความชอบธรรมใดๆ ที่จะเข้ามาแทรกแซง หรือบริหารสั่งการ
ฉะนั้นฝ่ายกองทัพไทยต้องแสดงออกให้เป็นที่ประจักษ์ว่า มีความเหนือกว่าฝ่ายกองทัพกัมพูชาทุกประการ และมีความน่าเกรงขามที่จะไม่เกิดการมาตอแยใดๆ จากฝ่ายกัมพูชา และทั้งหมดนี้เป้าก็มุ่งไปที่สองบุคคลที่สำคัญก็คือ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหน่วยงานส่วนหน้าและผู้บัญชาการกองทัพไทย ในฐานะผู้ประสานงานเหล่าทัพต่างๆ ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะให้ฝ่ายกัมพูชาได้ตระหนักและตระหนักว่า อย่าได้บังอาจที่จะตั้งตนมาเป็นศัตรู แต่จะเป็นผู้ร่วมมือเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยร่วมกันตลอดแนวชายแดนไทยและกัมพูชา ทั้งบนบกและในน้ำ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี