สังคมการบ้านการเมืองไทยก็คงต้องมีความปลื้มปีติในระดับหนึ่ง อันสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลที่เป็นไปในกรอบของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแม้อาจจะไม่สมบูรณ์แบบนั้น แต่ก็ยังคงอยู่ และประคับประคองกันไปได้ โดยการเปลี่ยนมือคณะผู้บริหารประเทศจากชุดเก่ามายังชุดใหม่ครั้งนี้ ถือว่าเกิดขึ้นภายใต้หลังคาของระบอบรัฐสภาประชาธิปไตย ซึ่งมีการดำเนินการตามกฎเกณฑ์กติกาที่เคลื่อนไป และยุติลงอย่างสงบเรียบร้อย พร้อมกับสร้างความหวังให้กับบ้านเมืองว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเก่า ให้เปลี่ยนเป็นฉบับที่จะเสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้มีความเป็นสากลและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะเป็นเรื่องที่ดีต่อสิทธิเสรีภาพและหน้าที่พลเมืองของปวงชนชาวไทย
คณะรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำพาของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ได้ถูกกำหนดระยะเวลาการคงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ไว้เพียงแค่ระยะเวลา 4 เดือน จัดได้ว่าเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อทำงานสำคัญ นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เพื่อให้ความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยเบ่งบาน และมีสาระเนื้อหาให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งภารกิจนี้จึงมีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตของประเทศไทย และต่ออนาคตทางการเมืองของผู้ที่จะประสงค์ที่จะอยู่ในสนามการเมือง และของผู้ที่คิดอ่านที่จะเข้าสู่สนามการเมืองในอนาคต
ในช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้ รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล คงจะบริหารราชการและขับเคลื่อนความเจริญเติบโตและก้าวหน้าของประเทศ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ไม่มากนักเพราะประเทศมีเรื่องท้าทายต่างๆ มากมายมหาศาล และเรื่องส่วนใหญ่ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล ฉะนั้น รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล จึงต้องเร่งคิด คัดเลือก ที่จะดำเนินการได้อย่างเร่งด่วนทันทีทันควัน และมีผลที่ประชาชนพลเมืองจะได้รับประโยชน์ในระยะเวลาอันสั้น
นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้ใน 4 เรื่องก็คือ
1.การลดค่าครองชีพ
2.การเจรจาเพื่อปรับความสัมพันธ์สู่ขั้นปกติไทย-กัมพูชา
3.เรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ และ
4.การปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด
ซึ่งเรื่องทั้ง 4 นี้มีขอบเขตกว้างขวาง และฉะนั้น คณะรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล จะต้องเร่งพิจารณาคัดเลือกเรื่องหรือประเด็นเฉพาะที่สำคัญๆ เพื่อจะได้ปฏิบัติการได้ทันทีทันควัน ซึ่งเรื่องหนึ่งที่น่าจะได้รับการดำเนินการเป็นอันดับแรกๆ ก็คือเรื่อง การนำเอานโยบายคนละครึ่ง ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากแวดวงธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะในระดับรากหญ้า และธุรกิจขนาดเล็กและย่อม ซึ่งทางรัฐบาลก็มีงบประมาณรองรับอยู่แล้วประมาณ 20,000 ล้านบาท กลับมาใช้
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะมีการดำเนินการได้ทันที คือการประชาสัมพันธ์สินค้าส่งออกของไทยไปทั่วโลก โดยการดำเนินการอย่างเข้มแข็งของทุกหน่วยงานไทยที่อยู่ในต่างประเทศคู่ขนานไปกับการจัดส่งคณะผู้แทนขายสินค้า (Selling Mission) กระจายไปต่างประเทศ พร้อมกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ด้วยภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอาหรับ เป็นต้น
ในเรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สังคมไทยก็ได้เห็นการตอแย ยักแย่ยักยันอย่างไม่เลิกของฝ่ายกัมพูชา และฉะนั้นก็ต้องทบทวนว่าการจะพูดจาป่าวประกาศในเรื่องหลักการ และในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศนั้นเพียงพอแล้วหรือยัง แต่สิ่งที่รัฐบาลอนุทิน จะต้องนำมาขบคิดพิจารณาก็คือ จะทำอย่างไรให้ฝ่ายกัมพูชามีความเกรงอกเกรงใจ และมีความเกรงขามในพละกำลังของฝ่ายไทยที่จะทำให้ฝ่ายกัมพูชากลับสู่การกำหนดท่าทีที่มีสาระที่จะนำไปสู่การปรับความสัมพันธ์เข้าสู่ขั้นปกติ
และทั้งหมดนี้รัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็ดูจะเป็น “เด็กใหม่” ในการเป็นเสนาบดี และไม่คุ้นเคยกับภาระหน้าที่ที่ต่างได้รับมอบหมาย เพราะฉะนั้นระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน จึงเป็นเรื่องของการใฝ่รู้ การรับฟัง การบรรยายสรุป พร้อมด้วยข้อมูลสถิติจากข้าราชการประจำเป็นสำคัญ และหากจำเป็นจะต้องตัดสินใจสั่งการ ก็ต้องกระทำด้วยความรู้ความเข้าใจและความตระหนักต่อผลประโยชน์บ้านเมือง หลีกเลี่ยงการหลงตัว การเพ้อฝัน และการเอาใจตัวเอง
ความสามารถของรัฐมนตรีก็คือการสามารถที่จะทำงานร่วมกับปลัดกระทรวง และอธิบดีต่างๆ งานการหลายอย่างอยู่ในอำนาจของข้าราชการประจำและฉะนั้นปลัดกระทรวง และอธิบดีต่างๆ ก็จะต้องไม่นอนหลับทำเกียร์ว่างใส่ หากแต่ต้องขยันขันแข็ง และในขณะเดียวกันเสนาบดีทั้งหลายก็ต้องสอดส่องดูแลฝ่ายข้าราชการประจำทำงานทำการกันอย่างจริงจัง และความซื่อตรงต่อหน้าที่และความซื่อสัตย์สุจริตก็จะต้องคงเส้นคงวา โดยประชาชนพลเมืองสามารถเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร และสามารถมีชีวิตอยู่กับกฎเกณฑ์ ระเบียบกติกา และขั้นตอนที่มีความชัดเจนโปร่งใส ซึ่งบรรดาเสนาบดีในฐานะผู้ทำหน้าที่แทนประชาชนพลเมือง ก็ต้องมีความเอาใจใส่อย่างขะมักเขม้น เป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชน และเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับบ้านเมือง แม้ว่าจะมีเวลาอันจำกัดก็ตาม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี