ได้เห็นหน้าค่าตาคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุทิน 1กันไปแล้ว เรียกว่า เกือบดี โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เช่นกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ หรือ แม้แต่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งกำลังต้องการมืออาชีพจริงๆ เท่านั้นเข้ามากอบกู้สถานการณ์วิกฤตอย่างเร่งด่วน
ที่ว่า เกือบดี นั้น เป็นเพราะคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ยังมีจุดอัปลักษณ์ตรงที่การแต่งตั้งคนใน ยังตกอยู่ในวังวนเดิมๆ คือ ยึดโยงอยู่กับพวกพ้อง กลุ่มก้อนบ้านใหญ่ เอาลูกหลานใครมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ จริงอยู่ว่าเป็นการปูทางสู่การเลือกตั้ง แต่บางกระทรวงควรจะได้รัฐมนตรีเกรดดีกว่านี้ แต่ก็ไม่ทำ ไม่มีใครยอมเสียสละเปิดทางให้คนที่มีฝีมือมากกว่าเข้ามา ทั้งที่รู้ๆ ว่านี่คือรัฐบาลเฉพาะกิจ
จากนี้ไปอีก 4 เดือนข้างหน้า ภายใต้การบริหารของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จึงยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ในทางปฏิบัติจะทำงานจริงๆ ได้แค่ไหน เนื่องจากรัฐบาลเองก็มีข้อจำกัดเป็นเสียงข้างน้อย และมีเวลาทำงานแค่ 4 เดือน ตามเงื่อนไขหลักของพรรคประชาชน
เอาแค่เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน พรรคประชาชนได้ออกฤทธิ์กดดันรัฐบาลชุดใหม่ทันทีหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ทำ 3 ครั้ง โดยให้ทุกพรรคเร่งยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่รัฐสภาโดยเร็วเพื่อให้ทันกรอบยุบสภา 4 เดือน ท่ามกลางปัญหาทางเทคนิค และข้อสงสัยว่าจะทำทันหรือไม่ ถ้าไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น นี่ยังไม่รวมเรื่องงบที่ต้องใช้ไม่ต่ำกว่า 10,000ล้านบาท
ในขณะที่คนไทยเริ่มตั้งคำถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่ากับปัญหาปากท้อง แต่ทำเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองมากกว่า เพราะในเวลานี้ประชาชนกำลังลำบากอยากเห็นว่าใน 4 เดือนต่อจากนี้ไป จะเอาอะไรกิน เศรษฐกิจจะฟื้นอย่างไร ปัญหาที่มันทับถมประเทศอยู่นั้นจะกระเตื้องขึ้นหรือไม่ นี่คือแสงในปลายอุโมงค์ที่คนไทยอยากเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่า
ส่วนเกมในสภาฯ ก็น่าห่วง จากความอาฆาตแค้นของพรรคเพื่อไทย หลังนายใหญ่เดิมเกมพลาดพ่ายแพ้แทบหมดตัว และต้องกลับไปติดคุก 1 ปี ฉะนั้นอาจต้องใช้เวทีในสภาเรียกคืนศรัทธา คือยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคดีเขากระโดง และฮั้วเลือก สว. อย่างน้อยๆ ก็เจาะยางพรรคภูมิใจไทย และวัดใจพรรคประชาชนว่าจะยืนอยู่ข้างไหน หากเห็นท่าไม่ดีก็อาจจับมือกันบีบยุบสภาเร็วกว่ากำหนด
อย่าลืมว่า ทุกคนรู้เต็มอกว่าอีก 4 เดือนจะมีการเลือกตั้ง ถามว่าใครจะยอมเสียเปรียบใคร ฉะนั้นทุกพรรคตอนนี้มีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือ สร้างกลไกความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต่างกันแค่พรรคของนายอนุทินแม้เป็นเสียงข้างน้อย แต่มีอำนาจรัฐในมือ และมีโอกาสทองที่จะทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์
ในมุมข้อดีของรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่ใช่ว่าไม่มี แต่อยู่ที่ว่านายอนุทินกล้าหาญพอที่จะลงมือทำจริงหรือทิ้งโอกาสทองไป เนื่องจากทุกคนรู้ว่า นี่คือรัฐบาลเฉพาะกิจ จึงไม่ได้คาดหวังไว้มากว่าจะเข้ามากอบกู้ทุกสิ่งอย่างให้ดีขึ้นได้ภายใน 4 เดือน แต่แค่อยากให้เข้ามาแก้ไขวิกฤตที่จ่อคอหอยประเทศอยู่นี้ ให้เสียหายน้อยที่สุด
ฉะนั้น เมื่อโอกาสมาถึงมือนายอนุทินได้เข้ามาเป็นฝ่ายบริหาร ต้องใช้อำนาจในการบริหารอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่เข้ามาตามใบสั่งเพื่อยุบสภาอย่างเดียว เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือความอยู่รอดปลอดภัยของประชาชนและประเทศชาติเพื่อส่งต่อลูกหลานในอนาคต หากสามารถทำให้เห็น และเป็นจริงได้ ถึงเวลานั้น4 เดือนที่ว่านี้อาจจะสั้นไปด้วยซ้ำ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี