การร้องเอาผิดนักการเมือง-สส.-รัฐมนตรี ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
ยาแรงเพื่อป้องกันและปราบปรามพฤติกรรมเล่นแร่แปรธาตุ โยกย้ายงบประมาณแผ่นดิน เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญฟันคอนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส. เพื่อไทย รองประธานสภาฯ กระเด็นตกเก้าอี้ สส. และตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี
แต่อาจจะไม่หมดเท่านี้...
1. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ทำหนังสือจี้ป.ป.ช. เร่งพิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กรณีคณะรัฐมนตรีและสส. ที่ลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ฯ 2569 จะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 1 ส.ค. 2568 ด้วยหรือไม่
โดยชี้ว่า งบสภาฯ ที่ทำให้พิเชษฐ์ หลุดจากตำแหน่ง ถูกเสนอเข้าสภาฯ ตั้งแต่การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ 2569 วาระแรก
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ และสภาฯ ลงมติเห็นชอบวาระแรก ด้วยคะแนนเสียง 322 เสียง
พบว่า มีการอภิปรายเกี่ยวกับความไม่ชอบของงบประมาณของสภาฯ 3 รายการ ที่เอาลงพื้นที่เชียงรายของนายพิเชษฐ์ ตั้งแต่วาระแรก แต่คณะรัฐมนตรีกลับไม่ถอนร่างกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และสส.ไม่ลงมติไม่รับหลักการ เพื่อไม่ให้เกิดการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ดังนั้น คณะรัฐมนตรี และสส. จึงต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับพิเชษฐ์ ด้วยหรือไม่?
2. คดีร้องเอาผิดฝ่าฝืนมาตรา 144 เปลี่ยนแปลงงบไปทำโครงการแจกเงินหมื่น
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสว.สมชาย แสวงการ อาจารย์เจษฎ์ โทณะวณิก ยื่นร้องป.ป.ช.เอาผิด ตั้งแต่ครม.เศรษฐา ทวีสิน และ ครม.แพทองธาร ชินวัตร ต่อเนื่องกัน รวมทั้ง สส. สว.ด้วย กรณีรัฐบาลเศรษฐาต่อเนื่องรัฐบาลแพทองธาร โยกงบฯปี 2568 วงเงิน 35,000 ล้านบาท ที่เดิมสำนักงบประมาณจัดสรรไว้ให้สถาบันการเงินของรัฐ 5 แห่ง เพื่อชำระหนี้เงินกู้-ดอกเบี้ย และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย แต่รัฐบาลนำเงินดังกล่าวไปแจกเป็นเงินหมื่น
แต่ล่าสุด มีข้อเขียนของ “นิรชน ชัยธรรม” เผยแพร่โดยสำนักข่าวอิศรา ว่าด้วยเรื่อง “ผลพวงคำวินิจฉัย กรณี “พิเชษฐ์” 3 คำร้อง ม.144 ในมือ ป.ป.ช. ส่อสะดุด”
เนื้อหาให้มุมมองทางกฎหมายที่น่าสนใจ ถกเถียงกันต่อไป ระบุว่า
“...ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยกรณี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.จังหวัดเชียงราย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ในกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี
โดยคำร้องของ สส.จากพรรคประชาชน ผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยการกระทำของนายพิเชษฐ์ทั้งในกระบวนการพิจารณางบประมาณ ปี 2568 และปี 2569 ไปพร้อมกัน
แต่ในชั้นพิจารณารับคำร้อง ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ พ.ศ.2568 ได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้นและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแล้ว ไม่อยู่ในขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายในกระบวนการทางนิติบัญญัติ ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับงบประมาณ ปี 2568 ไว้พิจารณา
โดยรับไว้พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ ปี 2569 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในกระบวนการทางนิติบัญญัติซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วเพียงบางส่วน แต่ยังไม่แล้วเสร็จทั้งหมดในขณะที่เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
แสดงว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องไว้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับการเสนอหรือการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ของงบประมาณประจำปี 2568 หรือปีก่อนหน้า ที่ได้มีการพิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว
ทำให้เห็นได้ถึงแนวการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่า จะรับไว้พิจารณาเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเท่านั้น โดยการพิจารณางบประมาณนั้นจะต้องยังไม่แล้วเสร็จและยังคงอยู่ในกระบวนการทางนิติบัญญัติ เพื่อที่ศาลรัฐธรรมนูญจะได้ระงับยับยั้งและมีคำสั่งให้กระบวนการทางนิติบัญญัติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนสิ้นนั้นผลไปก่อนที่จะนำงบประมาณไปใช้จ่าย
รวมทั้งวินิจฉัยว่าผู้กระทำที่มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่ระบุในมาตรา 144 ควรจะได้รับโทษในทางการเมืองอย่างไรเท่านั้น
ซึ่งเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง เพื่อที่จะมีคำสั่งให้การกระทำที่ขัดมาตรา 144 วรรคสอง สิ้นผลได้ทันก่อนที่จะนำงบประมาณในเรื่องนั้นไปใช้จ่าย ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะไม่รับพิจารณาคำร้องเกี่ยวกับงบประมาณที่พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว
โดยการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเน้นไปที่การมีคำสั่งให้กระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญต้องสิ้นผลไปโดยงบประมาณนั้นไม่ถูกนำไปใช้จ่าย
ส่วนการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของผู้กระทำ เป็นเรื่องที่มีผลตามมาเท่านั้น
ดังนั้น การพิจารณางบประมาณที่เสร็จสิ้นไปแล้วหรือได้ใช้จ่ายเงินงบประมาณไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องรับไว้พิจารณาอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วัน ตามมาตรา 144 วรรคสาม
แต่ควรจะอยู่ในเขตอำนาจการพิจารณาของศาลอื่น
แนวการพิจารณารับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ในกรณีที่ พ.ร.บ.งบประมาณได้พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว แม้ว่าจะมีการกระทำที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ก็ตาม ย่อมจะกระทบต่อเรื่องตามมาตรา 144 ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในขณะนี้ ซึ่งมีจำนวนอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ
1) กรณี ครม. สส. สว.และคณะกรรมาธิการ ปรับลดงบประมาณปี 2568 ที่รับหลักการไปแล้ว เพื่อชดเชยความเสียหายจากการดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 5 แห่ง จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ให้ไปเป็นงบกลางและต่อมานำไปใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 2 ที่ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และคณะ
2) กรณี ครม.นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นำเงินงบประมาณเพิ่มเติม ปี 2567 จำนวน 1.22 แสนล้านบาท สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยจะต้องผ่านรายจ่ายเพื่อการลงทุนร้อยละ 80 ไปใช้แจกเงินหมื่นให้กับกลุ่มเปราะบางเพื่อการบริโภคทั้งจำนวน 1.22 แสนล้านบาท ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 1 ซึ่งยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยคณะนิติชน-เชิดชูธรรม
และ 3) กรณี สส.พรรคเพื่อไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง แทรกแซงการจัดทำงบประมาณ ปี 2568 ในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นหรือพรรคการเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้คาดกันว่าทั้ง 3 เรื่องนี้ หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบสวนแล้วเห็นว่ามีมูล จะเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญในเวลาอีกไม่นานนี้
แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยกรณีของนายพิเชษฐ์ โดยไม่รับคำร้องไว้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณางบประมาณที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว จึงอาจจะทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาทบทวนอีกครั้งว่า การเสนอทั้ง 3 เรื่อง ไปยังศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นคำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับไว้พิจารณาหรือไม่ เนื่องจากทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณปี 2567 และปี 2568 ที่ได้ตราเป็น พ.ร.บ.และบังคับใช้ไปแล้วทั้งสิ้น โดยไม่ได้อยู่ในระหว่างขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณในกระบวนการทางนิติบัญญัติ จึงจะทำให้ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ประกอบ พ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 (7) ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนวการพิจารณาไม่รับคำร้องไว้แล้วในกรณีของนายพิเชษฐ์
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงอาจจะไม่ดำเนินการสอบสวนโดยพลันหรือในทันทีตาม พ.ร.ป.ปปช.มาตรา 88 แต่อาจจะดำเนินการตามปกติและมุ่งหน้าไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ชดใช้ความเสียหาย เพิกถอนสิทธิทางการเมือง และกำหนดความรับผิดทางอาญา ให้จบในคราวเดียวกันเลยก็ได้
ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนายพิเชษฐ์ จึงชี้ว่าเรื่องที่กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 3 เรื่อง ซึ่งมี สส. สว. กรรมาธิการ และ ครม. เกี่ยวข้องจำนวนหลายร้อยคน อาจจะไม่ได้รับการวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับกรณีของนายพิเชษฐ์ เพราะเป็นเรื่องของงบประมาณปี 2567 และปี 2568 ที่พ้นกระบวนการทางนิติบัญญัติไปแล้ว
ระเบิดปรมาณูที่คาดว่าจะทำลายล้างทั้งสภาและทั้งทำเนียบ ตามที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ อาจจะเดินทางไปไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญที่มีกระบวนการพิจารณาที่รวดเร็ว
แต่อาจต้องเปลี่ยนทิศทางไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะต้องใช้เวลาทั้งในขั้นตอนของ ป.ป.ช. อัยการ และศาล นานกว่าการเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญมาก
แต่ประสิทธิภาพการทำลายล้างของศาลฎีกา อาจไม่แตกต่างกับศาลรัฐธรรมนูญมากนัก
หรืออาจจะเหนือกว่าอีกเสียด้วย
เพราะพิจารณาได้ครบทุกเรื่อง ทั้งการพ้นสมาชิกภาพ การพ้นตำแหน่ง การเรียกให้ชดใช้เงินคืน และการลงโทษทางอาญา รวมทั้งการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งซึ่งกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่ได้กำหนดว่าไม่เกินกี่ปีต่อท้าย
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาจะตีความว่ารัฐธรรมนูญบัญญัติให้เพิกถอนสิทธิตลอดชีวิต โดยที่ศาลไม่อาจใช้ดุลพินิจได้ แตกต่างจากแนวการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรระหว่างพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำ กับโทษทางการเมืองที่จะได้รับ โดยจะมีระยะเวลาพ้นโทษซึ่งไม่เป็นการลงโทษตลอดชีวิต
จึงต้องรอดูกันอีกยาว ไม่ใช่เร็วๆ นี้ เสียแล้ว !!”
3. ก็จะต้องติดตามลุ้นกันต่อไป กรณียาแรง มาตรา 144 ที่มีไว้ป้องกันและปราบปรามนักการเมืองใช้อำนาจก้าวก่ายงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเอาหน้าประชานิยม
กรณีที่อยู่ในชั้น ป.ป.ช. จะต้องไปศาลฎีกาฯ ตามความเห็นข้างต้น หรือไม่?
หรือจะยื่นไปศาลรัฐธรรมนูญตามเดิม อย่างไร?
ผู้เกี่ยวข้องจะต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย บนพื้นฐานข้อเท็จจริง มิอาจละเว้นได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี