ความตายของ“บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม” หรือ “บุ้ง ทะลุวัง” นั้น มองในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งแล้ว เธอเป็นบุคคลน่าสงสาร ที่ต้องมาด่วนจบชีวิตในวัยที่มีอายุเพียงแค่ 28 ปี
ระหว่างที่“บุ้ง เนติพร”อดอาหารประท้วงในเรือนจำนั้น กลุ่มคนที่รุมทึ้งศพของเธออยู่ในเวลานี้ ไม่ปรากฏข่าวว่าเคยมีใครเตือนสติหรือชักจูงให้เธอเลิกอดน้ำอดอาหาร หรือหวังดีที่จะให้เธอได้รับอิสรภาพ เป็นต้นว่าให้เธอยอมรับสารภาพ ซึ่งเชื่อว่า ศาลท่านย่อมให้ความเมตตาและให้ความเป็นธรรม ดังที่มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วสำหรับผู้กระทำความผิดมาตรา 112
ชัดเจนที่สุดก็คือ กรณีหลานสาววัย 19 ปีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ซึ่งเธอเป็นบุตรสาวของนางสาวชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการชุมนุมของม็อบกลุ่มราษฎรหรือม็อบสามนิ้ว ที่มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณหน้าศาลฎีกาในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 .
การชุมนุมของม็อบสามกีบในครั้งนั้น ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงขว้างปาสิ่งของ ทั้งระเบิดปิงปอง ก้อนหิน ขวดน้ำ และวัตถุอื่นๆ จนเป็นเหตุให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บหลายสิบนาย และรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ หลานสาวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้โพสต์ลงบนทวิตเตอร์ส่วนตัวของเธอ มีเนื้อหาโจมตีในหลวงรัชกาลปัจจุบันอย่างรุนแรง
คดีนี้พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องหลานสาวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในเวลาต่อมา จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปี โดยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ศาลนัดไต่สวนพยานโจทก์ และหลานสาวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา
ศาลได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าหลานสาวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นเยาวชน ไม่เคยกระทำผิดมาก่อน จึงมีเมตตาให้จำเลยไปทำแผนบำบัดฟื้นฟูร่วมกับสหวิชาชีพ ผู้พิพากษาสมทบ และนักจิตวิทยา มาส่งศาลพิจารณาอนุมัติเพื่อนำเป็นการปฏิบัติปรับปรุงตัว ถ้าเป็นเยาวชนและไม่เคยกระทำความผิด ต้องโทษมาก่อน ศาลจะให้โอกาส ไม่ติดคุก แต่ต้องมีการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งสุดท้ายก็พ้นคดี
กรณีของหลานสาวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง ระหว่างคนหนุ่มสาวและเยาวชนที่ตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในคดีความผิดมาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีที่มีฐานความผิดเดียวกันกับหลานของนายธนาธร
เพราะหนุ่มสาวและเยาวชนเหล่านั้นไม่ได้มีนามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ จึงไม่ได้รับการแนะนำให้รับสารภาพหรือให้หยุดความเคลื่อนไหว เหมือนหลานสาวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่กลับถูกยุยงปลุกปั่นให้ต่อสู้ชนิดที่มีคุกกับความตายรออยู่ข้างหน้า
ภายหลังการเสียชีวิตของ“บุ้ง เนติพร” ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า "ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังเยาวชนที่ออกมาประท้วงด้วยอาการและอารมณ์ที่รุนแรง คือ ผู้ที่มีจิตใจอำมหิตมาก เพราะพวกเขาใช้อนาคตและชีวิตของเยาวชนเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่พวกเขาต้องการ โดยพวกเขาเท่านั้น คือ ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง"
ทางออกของอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร เพื่อจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับเยาวชนและคนหนุ่มคนสาวที่เป็นผู้ต้องขังและเป็นจำเลยในความผิดมาตรา 112 อยู่ในเวลานี้นั้น ไม่ใช่การแก้มาตรา 112 ที่อาจจะต้องใช้เวลา โดยอาจารย์ไชยันต์เห็นว่า
“ในขณะที่ยังไม่ได้แก้ (มาตรา 112) หากมีความห่วงใยเยาวชนที่ต้องคดีจริงๆ ผมขอเสนอว่า ในขณะที่คดียังอยู่ในศาล ให้รัฐบาลพิจารณาให้หน่วยงานใดพูดคุยกับเยาวชนที่ต้องคดี สอบถามถึงสาเหตุที่กล่าวหาสถาบันฯ และถามถึงแหล่งที่มา แล้วดูว่า ข้อมูลที่เยาวชนรับมานั้น มีหลักฐานสนับสนุนหรือไม่ หากเป็นข้อมูลที่มีหลักฐานรองรับ การต่อสู้คดีย่อมมีทางยกฟ้อง ถ้าไม่มี ก็ควรชี้แจงให้เยาวชนทราบ และแนะนำแนวทางที่จะขอให้ศาลสั่งให้รอลงอาญาครับ เช่น รับสารภาพ เป็นต้น”
หากเมื่อเทียบกับข้อเรียกร้องของพรรคก้าวไกล ที่เสนอขึ้นมาหลังการเสียชีวิตของ“บุ้ง เนติพร“ เห็นได้ชัดว่าพรรคก้าวไกลไร้ความจริงใจ มีแต่คำเพ้อเจ้อที่เลื่อนลอยเต็มไปด้วยวาทกรรม ดังคำแถลงที่ว่า
“เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อหาทางออกต่อความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตและที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคืนสิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยคดีการเมืองที่อยู่ระหว่างต่อสู้คดี การเร่งพิจารณากระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่มีมูลเหตุทางการเมือง และฟื้นความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมสำหรับประชาชนทุกคน”
พรรคก้าวไกลดิ้นรนเหมือนคนที่เป็นผู้ยุยงปลุกปั่น ให้เยาวชนและคนหนุ่มสาวไปกระทำความผิดเพื่อสนองประโยชน์ทางการเมืองของตน พอเข้าตาจนก็ยกเรื่อง“นิรโทษกรรม”ขึ้นมาเพื่อหวังจะล้างความผิดกันแบบง่ายๆ แต่ยากในทางปฏิบัติ เพราะความผิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นความผิดในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ถามว่าการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ และการกล่าวอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ รวมทั้งที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เคยอภิปรายกลางสภาฯว่า “(จะ)จัดวางพระราชอำนาจและพระราชสถานะให้เหมาะสมสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่” นี้หรือคือมูลเหตุจูงใจทางการเมือง
แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังมีคำวินิจฉัยชี้ว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลมีเจตนาล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากการเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112
ณ เวลานี้ ถึงแม้ว่า“บุ้ง เนติพร”จะจบชีวิตไปแล้ว ตัวเลข 112 ก็ยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ จะด้วยเจตนาของใครก็แล้วแต่ เธอเป็นผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกิน ที่เธอสิ้นลมหายใจในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเมื่อเวลา 11.22 น. และพิธีจุดเทียนแสดงความอาลัยหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ของม็อบสามกีบในช่วงหัวค่ำวันเดียวกับที่เธอเสียชีวิต ก็มีการยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกับ 12 นาที
สุดท้ายแล้วอีกไม่เกิน 112 วัน เชื่อว่าพรรคก้าวไกลก็คงจะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอันมีปมเหตุมาจากมาตรา 112 !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี