หากการเลือกตั้งของประเทศไทยเกิดขึ้นจริงในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปีหน้า (2562)ก็จะเหลืออีกไม่ถึง 100 วัน ในช่วงนี้จึงมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองให้ติดตามมากขึ้นทุกขณะ “ประเด็นสำคัญที่สุดประเด็นหนึ่งคือ แต่ละพรรคจะมีนโยบายในด้านการศึกษาอย่างไร?” เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่มักถูกถือว่าเป็นรากเหง้าของปัญหาสำคัญต่างๆ ของประเทศมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยากจน ความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาการเมืองตลอดจนปัญหาคอร์รัปชั่น
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพยายามปฏิรูปการศึกษามาตลอด โดยมีความเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) การจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ เป็นต้น ทว่า “3 ปัญหาเก่า” ก็ยังมีอยู่เช่นเดิม ซึ่งสะท้อนว่าวิกฤติการศึกษาไทยยังดำรงอยู่ ได้แก่
1.คุณภาพนักเรียนตกต่ำ ผลสอบ PISA ในปี 2558 สะท้อนว่า นักเรียนไทยจำนวนมากไม่สามารถอ่านจับใจความ และประยุกต์ความรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ นอกจากผลสอบแล้ว นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมากกว่าร้อยละ 60 ยังไม่รู้ว่าอยากเรียนต่อหรืออยากทำงานด้านใด และนักเรียนที่จบอาชีวศึกษาจำนวนมากก็มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ
2.ความเหลื่อมล้ำสูง จากการสำรวจของ กสศ. พบว่า เยาวชน 15-17 ปี ประมาณ 240,000 คน ไม่ได้เรียนต่อหลังจากสำเร็จการศึกษาภาคบังคับ เนื่องจากความยากจน ส่วนที่มีโอกาสเรียนต่อก็มีทักษะต่างๆ เช่น การอ่านต่ำกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวฐานะดี เทียบเท่ากับ 2.3 ถึง 3 ปีการศึกษา และ 3.ประสิทธิภาพต่ำรัฐบาลไทยใช้งบประมาณด้านการศึกษาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 6.2 ต่อปี จนมีรายจ่ายสูงถึง 5.2
แสนล้านบาทในปี 2559 แต่ผลลัพธ์ทางการศึกษาของเด็กไทยกลับยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าใช้เวลาเรียนมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD
ภาคีเพื่อการศึกษาไทย (ThailandEducation Partnership: TEP) วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาการศึกษาไทยได้เพราะ 1.นโยบายยังขาดเสถียรภาพ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ 21 คน นโยบายจึงเปลี่ยนไปตามรัฐมนตรีแต่ละคน ไม่มีจุดหมายร่วมกันอย่างชัดเจน 2.ภาคการเมืองมักเลือกใช้นโยบายที่หวังผลระยะสั้น เช่น โครงการที่มุ่งให้เห็นผลเฉพาะหน้า (Quick Win)
“การใช้นโยบายมุ่งความสำเร็จระยะสั้นอาจมีผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ไม่เพียงพอให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา เพราะการพัฒนาคนต้องใช้เวลานานจึงจะเห็นผล” นอกจากนี้ เรายังขาดการเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อประเมินว่านโยบายไหนได้ผล ทำให้ความล้มเหลวในอดีต ไม่นำไปสู่บทเรียนสำหรับอนาคต อีกทั้ง “ที่ผ่านมากระบวนการกำหนดนโยบายส่วนใหญ่ยังเป็นการสั่งการแบบบนลงล่าง (Top-down)” โดยปราศจากการปรึกษาหารือกับผู้เกี่ยวข้อง
รวมถึง “มักกำหนดแนวทางปฏิบัติแบบเดียวกันทุกพื้นที่” ก่อให้เกิดอุปสรรคในการนำไปปฏิบัติจริง เพราะผู้กำหนดนโยบายขาดความเข้าใจบริบทในแต่ละพื้นที่ ในขณะที่ผู้ปฏิบัติก็ไม่มีความเป็นเจ้าของและไม่เข้าใจหลักการของนโยบาย ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาการศึกษาไทยให้สำเร็จ ภาคการเมืองควรให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการนโยบายที่แข็งแรง แทนการทำโครงการที่หวังผลเฉพาะหน้า
โดยเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน “จากบนลงล่างเป็นร่วมมือ” ที่สำคัญต้องมุ่งเน้น “กระจายอำนาจทั้งในด้านวิชาการ งบประมาณ และบุคลากร ไปที่หน้างาน” โดยหน่วยงานรัฐในส่วนกลางเปลี่ยนบทบาทจากการบังคับควบคุม ไปสู่การส่งเสริมให้แต่ละโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม นโยบายการศึกษาที่จะสามารถแก้ปัญหาได้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีเสถียรภาพในตัวนโยบายเอง
“คงถึงเวลาแล้วที่พรรคการเมืองต้องมองว่า นโยบายการศึกษาเป็นสิ่งที่ทุกพรรคต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานในระยะยาว ไม่ใช่การมุ่งแข่งขันกันในตลาดการเมืองในระยะสั้น และไม่ใช่นโยบายที่ไว้คอยกำหนดหลังจากเป็นรัฐบาลแล้ว นอกจากนี้ การเลือกรัฐมนตรีควรพิจารณาผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบการศึกษา และมีความเปิดกว้างในการรับฟัง โดยให้โอกาสในการดำรงตำแหน่งยาวนานพอเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน”
นอกจาก 3 ปัญหาเก่า ข้างต้นที่จำเป็นต้องแก้ไขแล้ว ยังมีอีก “2 ความท้าทายใหม่” ที่รอต้อนรับรัฐบาลในอนาคตอยู่ ได้แก่ “การที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยและความปั่นป่วนทางเทคโนโลยี” ซึ่งเรียกร้องให้ระบบการศึกษาไทยต้องตอบโจทย์การเพิ่มความพร้อมของคนไทยทุกช่วงวัยให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 พร้อมใช้ชีวิตและสร้างคุณค่าในโลกที่เปลี่ยนแปลง นอกจากพรรคการเมืองแล้วอีกภาคส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญคือ “ภาคสังคม” โดยประชาชนควรเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการกำหนดนโยบายการศึกษาของประเทศ
จากแนวคิดดังกล่าว TEP จึงจัดเวทีให้พรรคการเมืองและประชาชนร่วมกันหาแนวทางการกำหนดนโยบายในการปฏิรูปการศึกษา ในงานเสวนา “ชวนพรรคร่วมคิด พลิกห้องเรียน เปลี่ยนไทยทันโลก” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บ่ายวันอาทิตย์ที่ 2 ธ.ค.นี้
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่Facebook เพจ TDRI.thailand หรือ TEPThaiEDUหรือที่เว็บไซต์ https://www.eventbrite.com/e/52695983104
พงศ์ทัศ วนิชานันท์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี