“ในระบอบประชาธิปไตย การชุมนุมโดยสงบปราศจากถือเป็นสิทธิเสรีภาพ เพราะเป็นเครื่องมือในการสะท้อนปัญหาของประชาชนต่อรัฐ” โดยประเทศไทยนั้นอย่างน้อยในรอบ 2 ทศวรรษล่าสุดนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่เป็นฉบับปัจจุบัน ก็ได้รับรองสิทธิดังกล่าวไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม “ในความเป็นจริงภาครัฐของไทยมักมีท่าทีไม่พอใจเสมอที่เห็นประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน หรือการออกมาชุมนุมเพื่อสะท้อนความเดือดร้อนจากโครงการพัฒนาต่างๆ” และมีความพยายามสกัดกั้นการแสดงออกเหล่านั้น
อาทิ การค้นข้อกฎหมายมาตั้งข้อหาฟ้องร้องให้มากที่สุด รวมถึง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ทำให้ไทยถูกมองจากชาวโลกว่าไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ดังนั้นเนื่องในโอกาสที่กำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) วันที่ 24 มี.ค. 2562 องค์กรนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ร่วมกับสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดเวทีเสวนา “เปิดแนวคิดพรรคการเมืองกับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร ตัวแทนพรรคสามัญชน ซึ่งเป็นพรรคที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของคนทำงานภาคประชาสังคม (NGO) ในประเด็นต่างๆ กล่าวว่า พรรคสามัญชนไม่สนับสนุนให้มีกฎหมายควบคุมการชุมนุมโดยสงบ เพราะมีกฎหมายอื่นๆ ให้ใช้ได้อยู่แล้ว อีกทั้งการชุมนุมต่างๆ มักเกิดจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐ จึงไม่ไว้ใจหากจะให้รัฐมามีอำนาจอนุญาตการชุมนุม
พรรณิการ์ วานิช ตัวแทนพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ปัญหาของกฎหมายการชุมนุมในประเทศไทยคือถูกเขียนขึ้นอย่างกว้างๆ เพื่อใช้ขัดขวางการชุมนุม อาทิ ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีจาก พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ แล้ว 218 คน ในจำนวนนี้ 99 คน ถูกแจ้งข้อหาไม่แจ้งการชุมนุมก่อน อีก 52 คนถูกแจ้งข้อหาชุมนุมในรัศมี 150 เมตรใกล้เขตพระราชฐาน ซึ่งแม้สุดท้ายแล้วส่วนใหญ่จบลงด้วยการยกฟ้องหรืออย่างมากเพียงรอลงอาญา แต่ก็เป็นภาระในการขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อต่อสู้คดี
ลักษณะนี้จึงมีความหมายว่า “กฎหมายการชุมนุมถูกใช้เพื่อเป็นการสร้างภาระกับผู้ที่ต้องการใช้เสรีภาพตามหลักประชาธิปไตย ต้องการสร้างภาระให้กับคนที่อยากต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น” ดังนั้น พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ จึงขัดต่อหลักการพื้นฐานและจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข นอกจากนี้สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่จะทำคือ “ให้สัตยาบันว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อไม่ให้ผู้ปราบปรามการชุมนุมโดยสงบลอยนวลอีกต่อไป” หากกฎหมายในประเทศเอาผิดไม่ได้ก็ต้องถูกจัดการโดยกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ
วัฒนา เมืองสุข ตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การชุมนุมมีข้อให้พิจารณา 3 เรื่องคือ 1.ทัศนคติของสังคมและเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องเคารพและเข้าใจว่าการรวมตัวกันเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ 2.สาระสำคัญของกฎหมายการชุมนุม ต้องมีขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการชุมนุม รักษาความปลอดภัยและปกป้องสิทธิสาธารณะ ไม่ใช่มีขึ้นเพื่อจำกัดการชุมนุม 3.การบังคับใช้กฎหมาย ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะรัฐบาลที่กลัวการรวมตัวของประชาชน จะใช้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นตัวคัดกรองและสร้างปัญหาให้กับการชุมนุม
นอกจากนี้ “สังคมไทยควรเข้าใจการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม” เช่น สมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มีการจ่ายเงินเยียวยากรณีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมศพละ 7.5 ล้านบาท มีการนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุความรุนแรงว่าได้เพียงศพละ 2 - 3 ล้านบาท เรื่องนี้ “อยากให้สังคมเข้าใจว่าการที่ต้องจ่ายให้ผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมอย่างมากนั้น เพื่อเป็นบทเรียนแก่รัฐบาลว่าอย่าทำแบบนี้กับประชาชนอีก” ต่างจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีเงินเดือนและอาสามาทำงานเสี่ยงภัยดังกล่าว
อลงกรณ์ พลบุตร ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ออกมาหลังจากเกิดวิกฤติความรุนแรงในประเทศกว่า 10 ปี แต่หลังจากนี้เมื่อกำลังจะเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องแก้ไขให้สอดคล้องกับหลัก 4 ประการคือ 1.หลักสิทธิมนุษยชน 2.หลักรัฐธรรมนูญ 3.หลักนิติรัฐ และ 4.หลักความโปร่งใส ทั้งนี้นอกจากการประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานแล้ว ยังต้องกำหนดให้ 1.ต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ 2.ต้องไม่เป็นภัยต่อสังคม ความมั่นคง หรือละเมิดสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่น
อีกด้านหนึ่ง พาลินี งามพริ้ง ตัวแทนพรรคมหาชน มองว่า การชุมนุมที่ก่อวิกฤติตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจากอาจมีผู้ต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจในประเด็นต่างๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นการเมืองนอกสภา ลามไปจนมีการยึดสถานที่ราชการ ยึดสนามบิน มีการใช้อาวุธเข้าทำร้ายกัน ดังนั้นการชุมนุมโดยสุจริตสามารถทำได้แต่ต้องมีการควบคุม อาจต้องกำหนดพื้นที่เพื่อไม่ให้ไปเบียดบังสาธารณะ ให้การชุมนุมเป็นเพียงการเสนอนโยบายเพื่อโน้มน้าวสังคม
ก่อนหน้านี้ “แนวหน้า” เคยนำเสนอมุมมองของภาคประชาชนต่อสิทธิในการชุมนุม (ชุมนุมโดยสงบคือสิทธิอันชอบธรรม : คอลัมน์ที่นี่แนวหน้า หน้า 3 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันเสาร์ที่ 19 ม.ค. 2562) ยกตัวอย่างกรณีที่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา เขียนบทความ “ผลการพิพากษาคดีเดินเทใจให้เทพา ไปยื่นหนังสือคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินแก่นายกฯ ประยุทธ์!” เมื่อ 27 ธ.ค. 2561 อันเป็นวันที่ศาลมีคำตัดสินกรณีดังกล่าว
โดยระบุว่า “ศาลยกฟ้องทั้งเกือบหมดทุกข้อหา” ทั้งข้อกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมถือด้ามธงอันเป็นอาวุธ ศาลวินิจฉัยว่าด้ามธงไม่ใช่อาวุธ ข้อกล่าวหาว่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นเพียงการกระทบกระทั่งกันและเจ้าหน้าที่ก็บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจึงไม่ถือเป็นการทำร้าย ข้อกล่าวหาเรื่องกีดขวางการจราจร ศาลวินิจฉัยว่าผู้ชุมนุมในเขตที่ตำรวจกั้นแนวกรวยไว้จึงไม่เข้าข่ายกีดขวางการจราจร และข้อกล่าวหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ศาลวินิจฉัยว่าผู้ชุมนุมมีการส่งตัวแทนประสานกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ตลอดจึงไม่ถือเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงาน
“เว้นแต่เพียงข้อหาเดียวที่ผู้ชุมนุมมีความผิดจริง คือการไม่แจ้งการชุมนุมล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง” ทำให้มีประเด็นน่าคิดว่า “รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิการชุมนุม แต่ พ.ร.บ.ชุมนุมที่ศักดิ์เล็กกว่ามาจำกัดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ นี่ยังเป็นอีกประเด็นปัญหาความเป็นธรรม” ดังนั้นเมื่อบ้านเมืองกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย กฎหมายควบคุมการชุมนุมควรถูกนำมาพิจารณาโดยรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งด้วย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี