“คุณไปเทียบกับเมืองนอกว่าเขาไม่ใช้รถตู้นะ ก็ต้องย้อนถามกลับไปว่าแล้วเมืองนอกเขาใช้รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือเปล่า..ไม่มี! แล้วทำไมยังใช้อยู่ อันตรายไหม เกิดอุบัติเหตุมากกว่ารถตู้อีกถ้าเทียบกันแล้ว ทำไมคุณยังให้ผู้โดยสารนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีก คุณก็ตัดออกไปสิ ทำให้เหมือนเมืองนอกสิ! มันทำไม่ได้ไง ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสภาพสังคมบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นคุณต้องยอมรับ”
ศิริพิศ เจตนาดี เลขาธิการสมาคมธุรกิจรถตู้ต่างจังหวัด กล่าวกับ “สกู๊ปแนวหน้า” ในวันที่สังคมกระหน่ำวิพากษ์ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อย่างรุนแรง “รัฐมนตรีไม่ห่วงชีวิตคนไทย..เพราะยอมปล่อยให้พาหนะอันตรายและเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ อย่างรถตู้เป็นรถโดยสาร” หลังประกาศว่า “จะไม่บังคับผู้ประกอบการรถตู้ที่รถหมดอายุตามที่กฎหมายกำหนดต้องเปลี่ยนเป็นมินิบัส (หรือไมโครบัส) แต่ให้เลือกได้ว่าจะเปลี่ยนรถใหม่เป็นรถตู้เหมือนเดิมก็ได้” โดยอยากให้เข้าใจบริบทความเป็นจริงของสังคมไทยด้วย
สำหรับประวัติศาสตร์การนำรถตู้มาทำเป็นรถโดยสารในประเทศไทย หากเป็นฉบับทางการเท่าที่พอจะค้นหาได้ อาทิ วิทยานิพนธ์ เรื่อง “การวิเคราะห์ความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะ” ผลงานของ วีรยา อุทยารัตน์ ในหลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการขนส่งและโลจิสติกส์ คณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (มิ.ย.2556) ระบุว่า ราวปี 2531-2532 อันเป็นช่วงต้นทศวรรษแห่งความรุ่งโรจน์ของเศรษฐกิจไทย
ในเวลานั้นชุมชนใหม่ๆ ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ตลอดจนหัวเมืองใหญ่ต่างๆ ผุดขึ้นจำนวนมากราวกับดอกเห็ด แต่ภาครัฐไม่สามารถจัดหาระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกและเพียงพอให้ทั่วถึง เกิดเป็นช่องว่างให้ผู้ประกอบการเอกชนนำรถตู้เข้ามาวิ่งให้บริการ “ในปี 2540 มีรถตู้ที่วิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 1,800 คัน เวลาผ่านไปเพียงปีเดียว คือในปี 2541 รถตู้วิ่งเส้นทางดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 คัน” หรือเพิ่มถึงเท่าตัว
แต่หากเป็นฉบับเรื่องเล่า ศิริพิศ กล่าวว่า เคยเจอคุณป้าผู้หนึ่งบอกว่า “รถตู้ที่ให้บริการในกรุงเทพฯ มีมาตั้งแต่ปี 2518” หรือก่อนที่เธอจะลืมตาดูโลก แถมยังตั้งจุดให้บริการที่ “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” อีกต่างหาก ยุคนั้นมีเพียงไม่กี่เส้นทางและต่อมาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่ระบบขนส่งมวลชนไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม
“กว่ารถตู้โดยสารจะได้รับการรับรองทางกฎหมาย ก็ต้องรอกันนานกว่า 3 ทศวรรษ” หรือราวต้นทศวรรษ 2550 โดยก่อนหน้านั้นชีวิตของชาวรถตู้คือ “วิ่งไป-หนีไป-จ่ายไป” ต้องหนีการจับกุม และมีเบี้ยใบ้รายทางนอกระบบต้องจ่าย
“ใต้โต๊ะเป็นเรื่องธรรมดา มันก็เหมือนกับคนเปิดบ่อนที่เขาจะต้องจ่ายให้ใครบ้าง ก็มีการเรียกร้องว่าให้ทำรถตู้ให้ถูกกฎหมายเสีย สุดท้ายก็มีรัฐมนตรี โสภณ
ซารัมย์ (รมว.คมนาคม ในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2552-2554) จับรถตู้ขึ้นมาให้ถูกกฎหมายเพื่อที่จะให้บริการ เพราะมันไม่มีทางตัดออกจากระบบการโดยสารได้ เนื่องจากลูกค้าเขาก็ต้องการ” ศิริพิศ เล่าบรรยากาศก่อนรถตู้จะถูกกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ บรรยงค์ อัมพรตระกูล ประธานสหพันธ์รถเอกชนร่วมบริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เคยกล่าวถึงปัญหาของชาวรถตู้ ว่า “รถมินิบัสขนาด 6-7 เมตร ราคาเฉลี่ยคันละกว่า 2 ล้านบาท ต่างจากรถตู้ที่ราคาต่อคันเพียง 1.2 ล้านบาท” บวกกับการถูกย้ายออกจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และมาตรการเปลี่ยนผ่านก็ไม่ตอบโจทย์ (เสียงครวญ“รถตู้สายใต้(เก่า)” “เข้า-ออกลำบาก” อยู่มีแต่ทรุด : หน้า 5 นสพ.แนวหน้า วันพฤหัสบดีที่ 27 มิ.ย. 2562)
ศิริพิศ ยืนยันเรื่องนี้อีกเสียง เธอกล่าวว่า “เมื่อรถตู้ถูกย้ายอยู่ไปตามสถานีขนส่งต่างๆ ในยุครัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลายคนหันไปใช้บริการรถทัวร์เพราะนั่งสบายกว่า ขณะที่อีกส่วนหนึ่งลดความถี่ในการเดินทางลงเพราะไม่สะดวกในการขึ้นรถอย่างเมื่อครั้งอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” ทำให้รายได้ของผู้ประกอบการรถตู้ลดลงจากเดิมอย่างมาก
นอกจากนี้ “สินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ภาครัฐจัดให้ เงื่อนไขก็ไม่เอื้อให้เข้าถึง เห็นได้จากมีผู้เข้าถึงเพียงหลักร้อยราย จากคนในแวดวงรถตู้ทั้งหมดกว่า 3 หมื่นราย” ยังไม่นับพวกที่เข้าร่วมไปแล้วถูกฟ้องเป็นคดีความเพราะไม่สามารถชำระค่างวดสินเชื่อได้ครบถ้วนและตรงเวลาเนื่องจากมีรายได้ที่ไม่แน่นอน ซึ่งรถตู้ที่วิ่งกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด (ระยะทางไม่เกิน 300 กิโลเมตร) จะมีผู้โดยสารมากจริงๆ เพียงวันศุกร์-อาทิตย์
ส่วนรถตู้ที่วิ่งเส้นทางกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปกติเก็บค่าโดยสารไม่กี่สิบบาท แม้ผู้โดยสารมากเกือบทุกวันก็ยังแทบไม่พอผ่อนหากเป็นรถมินิบัส “รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” ก็เป็นอีกเหตุผลที่ผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุน เพราะหากโครงการรถไฟต่างๆ สร้างเสร็จแล้วผู้โดยสารลดลงจะทำอย่างไร โดยหากเป็นการเปลี่ยนรถตู้เก่าเป็นรถตู้ใหม่ แม้ต้องเปลี่ยนรถทุกๆ 10 ปี เชื่อผู้ประกอบการน่าจะยังพอรับได้
“ถ้าเปลี่ยนรถตู้เป็นรถตู้ได้เขาก็ยินดีเปลี่ยน ผู้โดยสารก็ได้นั่งรถใหม่ด้วย อีกอย่างรถตู้รุ่นใหม่ที่ออกมาเขาตัดข้อบกพร่องจากรถรุ่นเดิมออกหมดแล้ว จึงน่าจะดีกว่าไมโครบัสซึ่งอายุการใช้งาน 40 ปี ลูกหลานเราต้องนั่งไปอีก 40 ปี ถามว่าเปลี่ยนทุก 10 ปีไม่ดีกว่าหรือ แล้วอนาคตพฤติกรรมการเดินทางของคน เขาจะมานั่งรถแบบนี้อีกไหม อีก 30-40 ปี ลองมองจุดคุ้มทุน ถ้ามองย้อนหลังไปสมัยก่อน 40 ปีข้างหน้ามันโอเค แต่ 40 ปีข้างหน้าในอนาคต การเดินทางมันคงไม่ใช่แบบนี้แล้ว ไมโครบัสให้เต็มที่ ให้วิ่งถึง 15 ปีคนก็เริ่มไม่ใช้บริการแล้ว” ศิริพิศ ระบุ
เลขาธิการสมาคมธุรกิจรถตู้ต่างจังหวัด ยืนยันว่า “ในความเป็นจริงไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุ” เพราะเกิดทีไรลูกค้าก็จะหายไปพักใหญ่ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แถมยังเป็น “จำเลยสังคม” ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรก็ตาม ระยะหลังๆ ผู้ประกอบการจะเข้มงวดเรื่องความพร้อมของคนขับมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีภาครัฐ เช่น กรมการขนส่งทางบก ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสภาพรถเป็นระยะๆ รวมถึง “เครื่องระบุพิกัดผ่านดาวเทียม (GPS) ตรวจจับความเร็ว” ซึ่งต้องบอกว่า “จับจริง-ปรับจริง” ทั้งผู้ที่ขับเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และผู้ที่พยายามถอดเครื่อง GPS ออก
“อย่างเส้นทางของเรา กรุงเทพฯ-จักราช ตั้งแต่เปิดเส้นทางเป็นรถร่วม บขส. มาตั้งแต่ปี 2557 หรือถ้านับตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีกฎหมายรับรองก็ปี 2551 เกิดอุบัติเหตุ 2 ครั้ง ครั้งแรกควายวิ่งตัดหน้าตอน 3 ทุ่มตรงถนนมิตรภาพ ที่หินกอง ชานเมือง ก็มองว่าเกิดอุบัติเหตุรถสาธารณะแล้ว เขาไม่ได้มองว่าใครผิดใครถูก แต่ตอนนั้นไม่มีใครเป็นอะไรมากเพราะเขาขับแค่ 80-90 กม./ชม. ครั้งที่ 2 ที่ถนนมิตรภาพ มีรถปิกอัพวิ่งข้ามเลนมาชนรถเราที่ขับอยู่ 90 กม./ชม. คนก็หาข่าวกันใหญ่ว่ารถตู้ผิดหรือเปล่า ปรากฏว่าเราไม่ผิด ข่าวก็เงียบไป” ศิริพิศ กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี