เป็นเวลาราว 3 เดือนแล้วหลัง “รัฐบาลชุดใหม่-นายกฯคนเดิม” แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งในนโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำไปแถลงนั้น ตอนหนึ่งของข้อแรกระบุว่า “...ทบทวนรูปแบบและมาตรฐานหาบเร่แผงลอยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยังคงเอกลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งร้านอาหารริมถนน ทำให้บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม...” ซึ่งหมายถึงการหา “สมดุล” ระหว่างการมีแหล่งอาหารไว้บริการผู้คน แต่การดำรงอยู่นั้นต้องเป็นระเบียบด้วย
ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 6 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์
ได้แจ้งต่อที่ประชุม ครม. กรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายจัดระเบียบทางเท้าจึงฝากให้ทาง กระทรวงมหาดไทย ไปดูแลเรื่องนี้โดยสำรวจว่าพื้นที่ใดเหมาะสมให้ค้าขายได้บ้าง หรือพื้นที่ที่มีการจัดระเบียบแล้วอาจต้องใช้การกำหนดช่วงเวลาค้าขาย
ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการบรรยายเรื่อง “แผงลอย : เรื่องราวสุดคลาสสิกของนักพัฒนาเมือง” โดยมีวิทยากรคือ ปาริษา มูสิกะคามะ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเรื่องด้วยการชวนให้คิด “หาบเร่แผงลอยเป็นปัญหา...หรือเป็นเพียงประเด็น” ซึ่งทั้ง 2 คำนี้มีความหมายแตกต่างกันในเชิงความรู้สึก ปัญหาเป็นคำที่สื่อในเชิงลบ ส่วนประเด็นเป็นเพียงคำกลางๆ
“เรามักมีคำพูดว่าแผงลอยเป็นปัญหาสุดคลาสสิกของนักออกแบบเมือง นักพัฒนาเมืองหรือนักผังเมือง คำถามคือมันเป็นปัญหาหรือเป็นประเด็น เราไม่ควรมองว่ามันเป็นปัญหา เราควรตัดปัญหาทิ้ง ควรใช้คำว่าประเด็น ประเด็นเป็นคำที่มีทั้งบวกและลบ คำว่าคลาสสิกคือคำที่พาเราไปหาอดีตกาล ทำไมเราถึงคิดว่ามันเป็นปัญหาหรือเป็นประเด็นคลาสสิก เพราะเราคิดว่ามันมีมาตั้งแต่ก่อนยุคพัฒนาเมือง” อาจารย์ปาริษา อธิบาย
อาจารย์ปาริษา เล่าต่อไปถึง “วิวัฒนาการของหาบเร่แผงลอยในสังคมไทย” อาจแบ่งได้ 4 ยุค 1.ยุคก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคนี้ผู้ค้าส่วนใหญ่เป็นหญิงชาวไทยกับชายชาวจีน เนื่องจากชายไทยยังอยู่ในระบบไพร่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน หน้าที่อยู่บ้านดูแลครอบครัวจึงเป็นของผู้หญิง ในขณะที่ชายชาวจีนไม่ถูกเกณฑ์แรงงานจึงมีอิสระกว่า 2.ยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรม เมื่อประมาณเกือบ 60 ปีก่อน (นับตั้งแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรก ในปี 2504) เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการได้รับการส่งเสริมจากรัฐ
“ในช่วงนี้มีการสร้างโรงงานจำนวนมาก ดึงดูดคนจากทั่วประเทศให้ออกจากบ้านเกิดเข้ามาแสวงหาโอกาสเป็นแรงงานในเมืองโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เกิดความต้องการสินค้าและบริการราคาถูกโดยเฉพาะอาหาร” แรงงานภูธรเหล่านี้กลุ่มหนึ่งกลายเป็นแรงงานหรือมนุษย์เงินเดือนในโรงงาน บริษัทห้างร้านต่างๆ ขณะที่อีกกลุ่มกลายเป็นผู้สนับสนุนให้แรงงานยังดำรงชีวิตในเมืองอยู่ได้ด้วยการเป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอย
3.ยุควิกฤติต้มยำกุ้ง การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยเฉพาะทศวรรษ 2530s ที่เป็นยุคเฟื่องฟูสุดขีดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กระทั่งทุกอย่างพังทลายลงในปี 2540 กิจการต่างๆ ปิดตัวลงพร้อมๆ กับมนุษย์เงินเดือนจำนวนมากต้องตกงาน เท่ากับว่าคนที่เคยอยู่ในเศรษฐกิจในระบบ ต้องรักษาชีวิตให้รอดด้วยการค้าขายในภาคนอกระบบ เช่น เกิดปรากฏการณ์เปิดท้ายขายของ ที่มีการนำสิ่งของใส่ท้ายรถยนต์มาวางขายริมถนน “ชนชั้นกลาง” กลายเป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอยมากขึ้นในยุคนี้
“ยุคนั้นจะมีคำว่าตลาดนัดคนเคยรวย คงเคยได้ยินแบรนด์ศิริวัฒน์แซนด์วิช คนนี้เคยประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้วล้มเหลวในเวลานั้น แล้วก็กลับมาฟื้นคืนชีวิตด้วยการออกมาค้าขายแซนด์วิชริมถนน แต่ก่อนเราจะพบว่าคนที่ขายของริมถนนเป็นคนยากจนมีการศึกษาน้อย แต่หลังจากช่วงนี้จะไม่ใช่อีกต่อไป จะมีผู้เล่น 2 กลุ่มขนานไปด้วยกัน”อาจารย์ปาริษา กล่าว
และ 4.ยุคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน หาบเร่แผงลอยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ถูกมองว่าเป็นเสน่ห์ของประเทศไทย ในขณะที่ “นโยบายของภาครัฐพยายามตัดคำว่าหาบเร่แผงลอยออกไป แล้วแทนที่ด้วยคำว่าสตรีทฟู้ด (Street Food) หรืออาหารริมทาง มีนัยหมายถึงรัฐยอมรับการค้าขายรูปแบบนี้เพียงมิติเดียวคืออาหาร เพราะรัฐเห็นว่าเป็นสินค้าชั้นดีที่ขายนักท่องเที่ยวได้” ในยุคที่ 4 นี้ นโยบายของรัฐทำให้ภาพลักษณ์ของหาบเร่แผงลอยจากที่เคยขายสินค้าหลากหลาย เน้นตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ใช้ชีวิตในแต่ละย่านเป็นหลักเปลี่ยนไป
เช่น เหลือเพียงถนนเยาวราช และถนนข้าวสารที่ยังอยู่รอดไม่ถูกห้ามขาย เหมือนพื้นที่อื่นๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือการส่งเสริมฟู้ดทรัค (Food Truck) รถขายอาหารที่ดูสวยงาม เป็นต้น นโยบายเหล่านี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีล่าสุด จนเป็นข้อสังเกตว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ทั้งที่สตรีทฟู้ดเริ่มแรกนั้นเกิดมาเพื่อบริการประชาชนทั่วไปในประเทศ
อนึ่ง หากนำ “วิธีคิดแบบโครงสร้างนิยม (Structuralism)” มาพิจารณา จะพบว่า “เศรษฐกิจในระบบกับนอกระบบมีความเชื่อมโยงแบบพึ่งพาอาศัยกัน” เช่น เมื่อผู้ประกอบการตั้งโรงงานและรับสมัครบุคคลเข้ามาทำงาน แต่แรงงานที่เป็นลูกจ้างรายได้ไม่เพียงพอที่จะเข้าไปรับประทานอาหารในร้านอาหารได้บ่อยๆ จึงต้องพึงพาอาหารริมทางแบบหาบเร่แผงลอยที่ราคาถูกกว่า หาบเร่แผงลอยจึงทำให้แรงงานสามารถดำรงชีวิตและทำงานต่อไปได้เพราะต้นทุนค่าครองชีพลดต่ำลง เมื่อแรงงานยังทำงานอยู่ผู้ประกอบการก็ได้ผลผลิตจากกำลังของลูกจ้างด้วย
อาจารย์ปาริษากล่าวถึงประโยชน์ของหาบเร่แผงลอย เช่น 1.สร้างอาชีพ ไม่ว่าอยู่ในระดับไหนชนชั้นใดก็ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยได้ 2.สนับสนุนสินค้าราคาถูกแก่แรงงาน ลดค่าครองชีพในเมืองได้ เช่น วีโก (WIEGO-Women in InformalEmployment: Globalizing andOrganizing) เครือข่ายผู้สนใจประเด็นแรงงานนอกระบบทั่วโลก เคยศึกษาพบว่า หากไม่มีหาบเร่แผงลอย จะทำให้ค่าอาหารของคนไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยคนละ 357 บาทต่อเดือน 3.เพิ่มความปลอดภัยให้เมือง ในเวลากลางคืนการมีผู้ค้าตั้งร้านอยู่ ทำให้จุดนั้นไม่ดูเปลี่ยวจนน่ากลัว
และ 4.ทำให้เมืองมีชีวิตชีวา เช่น ย่านปากคลองตลาดที่เป็นตลาดขายดอกไม้เก่าแก่ของกรุงเทพฯ ก่อนถูกจัดระเบียบ แม้จะดูวุ่นวายแต่ก็มีคนสัญจรไป-มาอย่างคึกคักตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC) ที่ว่า คนจะเลือกเดินในพื้นที่ที่มีสินค้าที่ต้องการวางขายผู้ใช้ทางเท้ากับหาบเร่แผงลอยจึงไม่ใช่ศัตรูกันเสมอไป
“มีโครงการเล็กๆ ที่ทำกับนักศึกษาใน ม.รังสิต ให้ไปสัมภาษณ์หาบเร่แผงลอยรอบๆ มหาวิทยาลัยจดมาให้ได้สัก 1 หน้ากระดาษเอ 4สิ่งที่เราพบคือหาบเร่แผงลอยเป็นมากกว่าการบริการ แต่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างนักศึกษาที่อยู่ในชุมชนนั้นๆ แล้วมันก็เป็นความทรงจำของผู้คนในชุมชน คุณเชื่อไหมว่านี่เป็นงานเล็กๆ ตั้งเพจเฟซบุ๊คขึ้นมาแล้วก็แชร์กันเอง สนุกกันเอง พี่คนหนึ่งซึ่งเป็นเพียงจุดเล็กๆ เป็นละอองฝุ่นเลยนะ แต่สำหรับบรรดานักศึกษา คุณเชื่อไหมว่ามีการแชร์กันไปถึง 600 แชร์ และมีการแสดงความคิดเห็นกันเยอะมาก
นักศึกษาทุกคนเรียกพี่คนนี้ว่าลุงเข้ามาบอกว่าจะไปปรากฏตัวที่นั่นที่นี่เวลาเท่าไหร่ อะไรอร่อยมากเป็นพิเศษ เขาเป็นคนที่มีปฏิสัมพันธ์ดีอย่างไร แล้วมันเป็นแบบนี้อยู่หลายร้านค้าที่เด็กๆ เขาไปสำรวจมา เราก็ค้นพบว่าแม้แต่นักศึกษาที่จบไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนก็ยังกลับมาพูดถึงกลับมาแชร์ถึงภาพลุงคนนี้ ในสังคมที่เราไม่รู้จักกันเลย เรารู้จักกันยากมากสมัยนี้ แต่คนแบบนี้จุดเล็กๆ แบบนี้สามารถเป็นจุดเชื่อมโยงได้” อาจารย์ปาริษา กล่าวถึงข้อค้นพบที่ว่านอกจากจะเป็นแหล่งอาหารราคาถูกแล้ว หาบเร่แผงลอยยังมีคุณค่าทางจิตใจต่อชุมชนด้วย
ส่วนที่มองกันว่าหาบเร่แผงลอยเป็นปัญหา...นักวิชาการผู้นี้ ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาภาครัฐมักมีท่าที “สุดโต่ง” ไปทางใดทางหนึ่ง เช่นกรณี “สยามสแควร์” ที่ในอดีตยังอนุญาตให้ขายของบนทางเท้าได้ แต่ไม่เคยเข้าไปกำกับดูแลให้เป็นระเบียบ ปล่อยให้ผู้ค้าตั้งแผงจนแทบไม่มีทางเดินหรือประชิดกับป้ายรถเมล์และบันไดขึ้น-ลงสถานีรถไฟฟ้า จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อ กทม. จะจัดการก็เลือกใช้วิธีกวาดล้างออกไปทั้งหมด
แต่คำถามคือ “การมองแผงลอยว่าเป็นสิ่งต้องกำจัดทิ้งสถานเดียวเป็นวิธีคิดที่เหมาะสมจริงหรือ” เช่น หลายจุดที่ยกเลิกจุดผ่อนผัน พบมีการนำรั้วเหล็กไปตั้ง เท่ากับยังเป็นการกีดขวางทางเท้าเหมือนเดิมเพียงแต่รูปแบบสิ่งกีดขวางเปลี่ยนไปเท่านั้น หรือเมื่อไม่มีหาบเร่แผงลอย บางจุดกลายเป็นที่หลับนอนของคนเร่ร่อนไร้บ้าน (Homeless) หรือนานวันเข้าเมื่อภาครัฐเริ่มหย่อนยาน ผู้ค้าก็จะค่อยๆ ทยอยกลับมา กลายเป็นวัฏจักรหมุนวนไปไม่รู้จบสิ้น
“สมดุล” ระหว่างการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างมีคุณภาพในเชิงสังคม กับการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานจึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นเรื่องท้าทายความคิดของนักพัฒนา...ว่าจุดที่เหมาะสม ของทั้ง 2 ด้านควรจะอยู่ ณ ตรงไหน!!!
"เมื่อเอกชนทำ “ศูนย์อาหารเพื่อการกุศล” ทดแทนสตรีทฟู้ดที่หายไป : สำนักข่าว Channel NewsAsia ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ “The fight to save Bangkok’s affordable and iconic street food” เมื่อ 1 พ.ย. 2562 ตอนหนึ่งเล่าถึงเรื่องราวของ คริส ฟู (Chris Foo) ชายลูกครึ่งจีน-อังกฤษ อายุ 38 ปี ผู้เติบโต ใช้ชีวิตและประกอบธุรกิจในกรุงเทพฯที่จับมือกับเจ้าของที่ดินใกล้สำนักงานของตน เปิดเป็นศูนย์อาหาร “Saphan55” ย่านทองหล่อ-สุขุมวิท และเชิญชวนผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถูกยกเลิกจุดผ่อนผันบนทางเท้าให้เข้ามาค้าขายในพื้นที่ของตน โดยคิดค่าเช่าในราคาไม่แพง
คริส ฟู ให้เหตุผลว่า ก่อนหน้านี้พนักงานในบริษัทของตนมักบ่นให้ได้ยินเสมอๆ ว่าตั้งแต่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ยกเลิกการอนุญาตให้ขายของบนทางเท้าก็หาของกินยากมาก ขณะที่เจ้าของที่ดินที่เอื้อเฟื้อพื้นที่นั้นมองว่าการที่สตรีทฟู้ดหายไปจากกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบกับทั้งชุมชนโดยรอบ อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวนี้ก็ชี้ว่า กรณีร้าน Saphan55 เป็นเพียงกิจกรรมการกุศล (Charity) เท่านั้น ซึ่ง เรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า โดยปกติพื้นที่เช่าของเอกชน ผู้ค้าไม่สามารถไปเรียกร้องให้ลดราคาค่าเช่าลงได้"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี