นักวิชาการมะกันชี้‘กำจัดหาบเร่แผงลอย’หลายปท.มีแต่ล้มเหลว แนะหาวิธีอยู่ร่วมกันดีกว่า
18 ต.ค.62 ผศ.ดร.ลิสเส็ทท์ อเลียกา-ลินาเรส (Lissette Aliaga-Linares) นักวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเนบราสกา โอมาฮา (University of Nebraska Omaha) สหรัฐอเมริกา เขียนบทความ “Why Street-Vendor relocation policies need to be rethought” เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ scholars.org ซึ่งเป็นเครือข่ายของนักวิชาการในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2562 ตามเวลาท้องถิ่น ระบุเหคุผลที่นโยบายขับไล่ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย (Street Vendor) โดยภาครัฐจำเป็นต้องถูกทบทวน
ผศ.ดร.ลิสเส็ทท์ กล่าวว่า ผู้คนระดับฐานรากในเมืองต่างๆ ทั่วโลกซึ่งยึดอาชีพขายของบนทางเท้าให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป มักถูกเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่หรือจับกุมในฐานะผู้ก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ซึ่งจากงานวิจัยของตน พบว่านโยบายทำนองนี้ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ อีกทั้งยังก่อให้เกิดสถานการณ์ประเภทที่ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยประกอบอาชีพไปพลางหลบหนีไปพลาง
ขณะที่นโยบายการย้ายผู้ค้าออกจากทางเท้าโดยจัดหาพื้นที่ใหม่ทดแทน ตัวอย่างการศึกษาที่กรุงลิมา ประเทศเปรู และกรุงโบโกตา ประเทศโคลัมเบีย พบว่าเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนการประกอบอาชีพให้กับผู้ค้ารวมถึงภาระงบประมาณของเมือง เมื่อเทียบกับการปรับปรุงลักษณะประกอบอาชีพของผู้ค้าบนทางเท้าควบคู่กับการรักษาความปลอดภัยต่อสาธารณะไปพร้อมกัน ซึ่งจะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่เมืองมากกว่า
ผศ.ดร.ลิสเส็ทท์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันหลายเมืองในสหรัฐฯ กำลังถกเถียงในประเด็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอยเช่นกันว่าจะออกมาตรการจัดระเบียบอย่างไร ซึ่งตนเห็นว่าสหรัฐฯ ควรเรียนรู้ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวจากเมืองอื่นๆ ในต่างประเทศ เนื่องจากระยะหลังๆ มีชุดความรู้ใหม่ที่ท้าทายความเชื่อเดิม กล่าวคือ ในอดีตมักเชื่อกันว่าหาบเร่แผงลอยอันเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) แยกตัวจากกิจการอื่นๆ ที่เป็นเศรษฐกิจในระบบ (Formal Economy) หรือเป็นอันตรายต่อคนยากจนในเมือง
แต่ผลการศึกษาเชิงประจักษ์ กลับพบว่า หาบเร่แผงลอยช่วยขยายช่องทางการกระจายสินค้า ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการประเทศบริษัทห้างร้านแบบอาคาร (Brick and Mortar Business) นอกจากนี้รัฐยังได้ประโยชน์จากภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ ขณะเดียวกัน แม้ตัวผู้ค้าจะมีฐานะไม่ดีนัก แต่การมีอาชีพ-มีรายได้ ก็ช่วยสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นลูก-รุ่นหลานของพวกเขา ทั้งนี้ในหลายเมืองทั่วโลกการประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยมีรายได้มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ หญิงที่เพิ่งมีลูกอายุน้อยๆ จึงเลือกอาชีพนี้เพราะสามารถดูแลลูกไปพร้อมกันได้
บทความของ ผศ.ดร.ลิสเส็ทท์ ยกตัวอย่างความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ชาวเปรู เฮอร์นันโด เดอ โซโต (Hernando De Soto) เคยเสนอแนะว่า หากภาครัฐอนุญาตให้มีการประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอย ย่อมไม่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ค้าย้ายออกจากทางเท้าหรือถนนเข้าไปยังภายในอาคาร ซึ่งทำให้ผู้บริหารเมืองต่างๆ ในเปรูพยายามหามาตรการที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้ เช่น การทำให้จดทะเบียนธุรกิจง่ายขึ้น หรือการหาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
แต่ปัญหาคือมีกลุ่มผู้ค้าจำนวนไม่มากนักที่สามารถหาพื้นที่ทำเลดี ในขณะที่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้การที่ผู้ค้าในตลาดมีรายได้มากกว่าผู้ค้าหาบเร่แผงลอย พบว่าเป็นเพราะต้องทำงานหนักกว่าถึง 2 เท่าในแต่ละวัน ซึ่งเมื่อไม่มีข้อแตกต่าง ผู้ค้าหลายรายจึงเลิกอยู่ในตลาดแล้วกลับออกมาเป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอยเช่นเดิม อีกทั้งผู้ค้าหลายรายยังมีภาระหนี้สิน หรือมีอุปสรรคทางการเงินทำให้ไม่สามารถปรับปรุงสภาพการประกอบอาชีพ
ส่วนที่โคลัมเบีย ในปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้เจ้าหน้าที่รัฐยุติการยึดสิ่งของหรือขับไล่ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยโดยไม่มีมาตรการเยียวยาด้านการประกอบอาชีพทดแทน ผู้บริหารกรุงโบโกตาเลือกใช้นโยบายทั้งการหาสินเชื่อ การออกใบอนุญาตค้าขายตามงานแสดงสินค้า หรือการจัดพื้นที่ค้าขาย ทั้งหมดเป็นไปด้วยความคาดหวังว่าทางเท้าจะกลับมาเป็นพื้นที่สาธารณะและผู้ค้าจะเข้าไปอยู่ในอาคาร หรือเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น
แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่ามีผู้ค้าจำนวนน้อยที่เข้าถึงมาตรการเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่ถูกมองว่าสำคัญเป็นพิเศษในการจัดระเบียบ ขณะที่อีกหลายรายไม่สนใจมาตรการของภาครัฐเพราะเห็นว่ามีข้อจำกัดในการรับประกันความมั่นคงในอาชีพและสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้สำหรับพื้นที่ที่รัฐจัดหาให้พบว่ามีผู้เข้าไปค้าขายน้อยและยอดขายก็ไม่ดีนัก ส่วนผู้ค้าที่ยังทำการค้าบนทางเท้าก็ยังต้องหลบหนีเจ้าหน้าที่เช่นเดิม
บทสรุปของทั้ง 2 กรณี คือนโยบายแบบสั่งการจากบนลงล่าง (Top-Down) ที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญมักคิดว่าเหมาะสมกับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย เมื่อนำไปปฏิบัติกลับประสบความล้มเหลว ทั้งนี้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยถือเป็น “แรงงานกลุ่มเปราะบาง (Vulnerable Worker)” ซึ่งควรได้รับโอกาสในการหางานหรือโอกาสทางธุรกิจที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นว่าต้องการ “ทางเท้าหรือถนนโล่งๆ (Empty Street)” ทำให้ล้มเหลวในการเรียกคืนพื้นที่สาธาณณะสำหรับผู้ใช้งานที่แท้จริง อีกทั้งล้มเหลวในการจัดหาอาชีพที่มีเสถียรภาพแก่ผู้ค้าด้วย
ผศ.ดร.ลิสเส็ทท์ ให้ข้อคิดเห็นทิ้งท้ายไว้ว่า หลายเมืองที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและหนาแน่น หาบเร่แผงลอยไม่เพียงให้บริการสินค้าต่างๆ กับผู้คนในเมืองเท่านั้น แต่ยังทำให้วิถีชีวิตของพวกเขาไม่ต้องเร่งรีบจนเกินไปและเชื่อมต่อกัน ดังนั้นนโยบายว่าด้วยหาบเร่แผงลอยจึงควรคำนึงถึงประโยชน์เหล่านี้ และผู้ค้าหาบเร่แผงลอยควรมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการออกแบบนโยบาย จึงจะนำไปสู่แรงจูงใจที่ผู้ค้าจะยกระดับอาชีพของตนให้ได้มาตรฐานต่างๆ ตามที่มีข้อกังวล และนโยบายที่ออกมาก็จะมีประสิทธิภาพสามารถใช้ได้จริง
ซึ่งปัจจุบันมีหลายเมืองที่ดำเนินการเกี่ยวกับหาบเร่แผงลอยภายใต้หลักคิดเช่นนั้น อาทิ เมืองเดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ มีองค์กร Asiye Etafuleni ที่เป็นภาคประชาสังคม (NGO) เข้ามาช่วยออกแบบการพัฒนาตลาดริมถนนบริเวณ Warwick Junction หรือในประเทศอินเดีย มีการตั้งคณะกรรมการการค้าของเมืองเพื่อหารือการออกนโยบายที่ได้สมดุลระหว่างการปกป้องผู้ค้ากับการควบคุมการค้าให้เป็นระเบียบ
แม้กระทั่งในสหรัฐฯ ที่เมืองลอส แองเจลิส (LA) ในปี 2561 มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อยกเลิกความผิดกับผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอย โดยเปลี่ยนมาเป็นการให้ภาครัฐออกข้อกำหนดการค้าขายในลักษณะที่ไม่ห้ามการค้าหาบเร่แผงลอยอีกต่อไป เว้นแต่มีความจำเป็นด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย ซึ่งความคิดริเริ่มเหล่านี้จะทำให้ภาครัฐเลิกแนวคิดกำจัดหาบเร่แผงลอย และหันไปหาทางออกที่ผู้ใช้ทางเท้าและผู้ค้าสามารถอยู่ร่วมกันได้แทน
ขอบคุณเรื่องจาก
https://scholars.org/contribution/why-street-vendor-relocation-policies-need-be-rethought
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี