“ในยุคที่ใครๆ ก็เป็นสื่อได้..ทุกคนก็เหมือนมีอาวุธอยู่ในมือ” คงไม่ผิดนักหากจะนิยามโลกยุคปัจจุบันแบบนี้ เพราะเมื่อเลื่อนนิ้วและกวาดสายตาดูข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ผ่านคอมพิวเตอร์บ้าง โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนบ้าง “ยากจะรู้ได้ว่าอะไรจริง-อะไรเท็จ” หรือแม้กระทั่ง “สิ่งที่ได้อ่าน-ได้ยิน-ได้เห็นนั้นเป็นความจริงทั้งหมดของเรื่องหรือเปล่า” ทำให้ทุกวันนี้ “ข่าวปลอม (Fake News)” กลายเป็นปัญหาสำคัญของโลก และไม่ว่าใครก็อาจแพร่กระจายข่าวปลอมโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นเหมือนใช้อาวุธในมือทำร้ายผู้อื่นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนาเรื่อง “ข่าวเท็จบนโลกอินเตอร์เนต 4.0 ในมิติทางกฎหมาย” โดยมีวิทยากรหลายท่านมาให้มุมมองถึงเรื่องนี้ อาทิ รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุลอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการทำวิจัยเมื่อช่วง 4-5 ปีก่อน ว่า อาจแบ่ง “ข่าวลือ” เป็น 2 แบบคือ 1.ข่าวลือที่ออกมาแล้วเป็นเท็จ (Fake News) กับ 2.ข่าวลือที่หลุดออกมาแต่มีมูลความจริง (Leak News)
การศึกษาครั้งนี้ทำร่วมกับ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งช่วยทำโปรแกรมเก็บรวบรวมข่าวที่แพร่กระจายบนอินเตอร์เนตแล้วนำมาวิเคราะห์ “ข้อค้นพบที่น่าสนใจ..ข่าวลือมักมาจากผู้ใช้อินเตอร์เนตที่ไม่ได้เป็นผู้ที่สังคมรู้จัก” บางครั้งไปเจอว่าเป็น “บอท (Bot)”หรือโปรแกรมที่ตั้งค่าการทำงานให้แชร์ข่าวเสียด้วยซ้ำไป “แต่ข่าวลือจะแพร่กระจายได้เร็วมากขึ้นหากผู้ที่มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ (Influencer) ร่วมส่งต่อข้อมูลด้วย” โดยกลุ่มนี้เปรียบเหมือนศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
“อีกอย่างที่เจอคือการวิ่งของข่าวเท็จคือมันไปเร็วมาก ตอนทำวิจัยเราเจอข่าวเท็จ สมมุติวิ่งออกไปตอน 09.05 น. ข่าวแก้ออกไป09.05 น. เช่นกัน แต่ข่าวเท็จยังวิ่งอยู่คนที่ได้รับข่าวเท็จก็แชร์ไปเรื่อยๆ ในขณะที่ข่าวแก้ก็วิ่งไปอีกทาง ถ้าข้อมูลมันไม่บรรจบ ท้ายที่สุดข่าวเท็จมันก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ งานวิจัยเราบอกว่าข่าวเท็จมันเหมือนซอมบี้ (Zombie-ผีดิบ) ไม่มีวันตาย โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ มันพร้อมจะขึ้นมาเมื่อไรก็ได้” อาจารย์พิจิตราระบุ
อาจารย์พิจิตรา กล่าวต่อไปว่า “การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2559 จุดกระแสเรื่องข่าวปลอมบนโลกออนไลน์ให้ได้รับความสนใจและตระหนกไปทั่วโลก” โดยมีข้อมูลบางรูปแบบที่ถูกมองว่าเป็นอันตรายและต้องเข้าไปกำกับดูแล เช่น “ข้อมูลอันเป็นเท็จ (Fault)” แต่ข้อมูลประเภทนี้ในบางเรื่องก็ตัดสินได้ยากว่าต้องควบคุมหรือไม่ อาทิ ความเชื่อทางไสยศาสตร์สิ่งลี้ลับ การโพสต์ภาพไม่ว่าของผู้อื่นหรือตนเองแล้วบรรยายว่าภาพไม่เหมือนตัวจริง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปในการส่งต่อด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน
“ข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาร้าย (Intent to Harm)” นอกจากจะเป็นเท็จแล้วยังเผยแพร่โดยมีเจตนามุ่งร้ายต่อผู้อื่นหรือก่อให้เกิดภัยพิบัติ “ถึงกระนั้นการกำกับดูแลก็ไม่ง่ายเพราะผู้ให้บริการสื่อออนไลน์แต่ละเจ้ามีนโยบายไม่เหมือนกัน” เช่น ไลน์ (Line) แอพพลิเคชั่นสนทนา (Chat) สัญชาติญี่ปุ่น ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) แต่เป็นแอพฯ พูดคุยในวงปิด โดยข้อความการพูดคุยของผู้ใช้งานจะถูกเข้ารหัสไว้ แม้แต่พนักงานของบริษัทแอพฯ นี้ก็ไม่สามารถเข้าไปดูได้ ขณะที่เฟซบุ๊คยอมรับว่าตนเองเป็นสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้ให้บริการมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อรับมือเนื้อหาที่เป็นปัญหา เช่นทวิตเตอร์ มีการเฝ้าระวังเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับการก่อการร้าย เฟซบุ๊คมีระเบียบมาตรฐานชุมชน แต่เฟซบุ๊คจะคัดกรองเฉพาะเนื้อหาที่ตรวจสอบได้แน่นอนว่าจริงหรือเท็จเท่านั้นไม่รวมถึงการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง “หากถามว่าเนื้อหาใดบ้างไม่สมควรถูกเผยแพร่บนอินเตอร์เนต ก็ยากที่จะได้บทสรุปตรงกัน” ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
“สมมุติมีเด็กคนหนึ่งโพสต์ มีรูปมีดคัตเตอร์มีเลือดหยด และมีเนื้อหาพูดอะไรต่างๆ เอามาโชว์ในห้องตอนเราทำเวิร์กช็อป (Workshop-ประชุมเชิงปฏิบัติการ) ถามว่าถ้าเป็นคุณจะเอาเนื้อหานี้ลงไหม บางคนบอกเอาลงเพราะมันเหมือนจะจูงใจให้คนอยากทำร้ายตัวเอง แต่อีกกลุ่มบอกไม่เอาลงเพราะเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ ทีนี้พอย้อนกลับมาที่การกำกับข่าวปลอมมันมีความสลับซับซ้อนจริงๆ บางอย่างเราไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ หรือบางอย่างเราไม่กล้าเข้าไปเช็คเสียด้วยซ้ำไป” อาจารย์พิจิตรา ยกตัวอย่าง
ขณะที่ ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กฎหมายรับรองเรื่องมนุษย์มีเสรีภาพในการแสดงออก จากการพูด การเขียน มาสู่การโพสต์บนโลกออนไลน์ ซึ่งการจำกัดเสรีภาพนี้จะกระทำได้ภายใต้เหตุจำเป็นเท่านั้น และต้องระบุให้ชัดเจนด้วยว่าอะไรบ้าง เช่น สิงคโปร์ เขียนกฎหมายว่า “บุคคลใดรู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าข้อความที่จะส่งต่อเป็นเท็จ และการสื่อสารจะก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคงต่อประเทศ” หากฝ่าฝืนส่งข้อความดังกล่าวต่อไปจึงจะถือว่ามีความผิด
ประโยคข้างต้นนี้ดูเหมือนชัดเจน แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นได้ เช่น “คำว่ารู้ คืออะไร” และการส่งต่อข้อมูลที่เราไม่รู้ว่าเป็นความเท็จควรจะถือว่าผิดด้วยหรือไม่ ส่วนกฎหมายของ ไทย มีอยู่ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (1) ระบุว่า “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา”
คำถามสำหรับกฎหมายข้างต้นของไทย 1.อะไรคือเจตนา เทียบกับกรณีความผิดฐานลักทรัพย์ เช่น คน 2 คน ใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นเดียวกันและสีเหมือนกัน คนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ของอีกคนหนึ่งไปเพราะเข้าใจว่าเป็นโทรศัพท์ของตน แบบนี้จะถือว่าขาดเจตนา แต่การพิจารณาเรื่องข่าวปลอมจะซับซ้อนกว่ามาก เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือข่าวปลอม แล้วถ้าไม่รู้จริงๆ จะมีความผิดตามกฎหมายนี้หรือไม่ ต่างจากกฎหมายสิงคโปร์ที่มีคำว่าเหตุอันควรรู้ หมายถึงน่าจะรู้แต่เหตุใดจึงไม่รู้ แต่ก็ต้องระบุให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
2.อะไรคือโดยทุจริต หากยึดหลักตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) จะให้นิยามว่า “การแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย” เช่น มุ่งผลกำไรทางพาณิชย์ นอกจากนี้ “ข่าวปลอมยังต่างจากการหมิ่นประมาท” เพราะความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อาญา บางเรื่องแม้เป็นเรื่องจริงแต่กฎหมายไม่อนุญาตให้นำไปป่าวประกาศในวงกว้างเพราะเป็นการลดทอนเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้ถูกพาดพิง แต่ข่าวปลอมนั้นแม้ไม่ได้ไปลดทอนเกียรติของผู้ใดก็ถือว่าผิดแล้วเพราะเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ถึงกระนั้นผู้ได้รับความเสียหายจากข่าวปลอมก็ยังฟ้องแพ่งด้วยได้
“โลกตอนนี้มันเชื่อมเข้าด้วยกันโดยอินเตอร์เนตหรืออะไรก็ตาม มันไม่ได้มีพรมแดนชัดเจน เราบอกว่ากฎหมายไทยน่ากลัว เราบินไปต่างประเทศ พยายามแชร์ข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อหนีกฎหมายไทย เราดูอย่างดีประเทศที่ไม่มีกฎหมายเรื่องนี้ โลกออนไลน์มันเชื่อมกัน เราเอาข้อมูลเข้าไปในระบบ คนไทยอ่านได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดความท้าทายขึ้นกับระบบกฎหมายของเราแล้ว ว่ามันเป็นอย่างไร จะทำอย่างไรให้สามารถบังคับตามกฎหมายได้” อาจารย์ปิติ กล่าวถึงปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลข้ามพรมแดน ซึ่งไม่ง่ายในการเอาผิดตามกฎหมาย
เสียงจากคนรุ่นใหม่ สิทธิกานต์ธีระวัฒนชัย นิสิตปี 4 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า ข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ไม่ว่ารูปแบบใดล้วนถูกส่งต่อได้อย่างรวดเร็ว หากเป็นข้อมูลไม่รอบด้านหรือมีการบิดเบือน เมื่อผู้รับสารปักใจเชื่อไปแล้ว ต่อให้นำเสนอข้อเท็จจริงภายหลังก็แก้ไขอะไรได้ยาก ขณะที่วิธีการรับมือกับข่าวปลอมนั้นมี 3 ประการคือ
1.ตรวจสอบจากหลายๆ แหล่งข้อมูล เพราะแต่ละแหล่งข้อมูลจะมีประเด็นที่อยากนำเสนอ และมองข้ามข้อเท็จจริงบางอย่างที่มีผลลดทอนประเด็นที่อยากนำเสนอนั้น การรับข้อมูลจากหลายแหล่งจะทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวได้รอบด้านมากขึ้น 2.ให้ความสำคัญกับแหล่งข้อมูล เปรียบเทียบกับการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ที่เน้นการหาหลักฐานชั้นปฐมภูมิเพราะบิดเบือนได้ยากที่สุด ถ้าเทียบกับการตรวจสอบข่าวสาร การไปพบแหล่งข้อมูลจริงๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ยาก
ทางที่พอจะเป็นไปได้คือการหาหลักฐานชั้นรองลงมา เช่น บนอินเตอร์เนตจะมีบรรดาเว็บไซต์ชื่อแปลกๆ ซึ่งมักพบว่านำเสนอข่าวปลอม แล้วก็มีผู้ที่ใช้สื่อออนไลน์นำข่าวจากเว็บไซต์เหล่านี้มาเผยแพร่ต่อบนเฟซบุ๊ค การเลือกรับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลชั้นรองจึงควรเลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ 3.แยกข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น เพราะข้อเท็จจริงสามารถพิสูจน์ได้ แต่ความคิดเห็นไม่มีอะไรรองรับ
สำหรับมาตรการกับข่าวปลอม สิทธิกานต์แบ่งเป็น 2 ด้าน “การป้องกันและปราบปราม” หากไปดูใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เจตนารมณ์ส่วนหนึ่งคือเพื่อป้องกันข่าวปลอม แต่ต้องระมัดระวัง “การออกกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน การตีความกฎหมายนั้นต้องถูกตีความอย่างแคบ” เพื่อให้ทุกกรณีที่เป็นพฤติกรรมแบบเดียวกันต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน เช่น สื่อ 2 สำนักนำเสนอข่าวเท็จ แม้ว่าข่าวเท็จของสำนักหนึ่งจะเป็นผลดีต่อรัฐบาลส่วนอีกสำนักเป็นผลเสีย สื่อทั้ง2 สำนักก็ต้องถูกดำเนินคดีฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จอย่างเท่าเทียมกัน
ส่วน “การสร้างการรู้เท่าทัน” เช่น เว็บไซต์หน่วยงานภาครัฐควรพัฒนาให้เข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อเกิดข่าวลือเกี่ยวกับหน่วยงานใดๆ ประชาชนจะได้เข้าไปดูที่เว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นอันเป็นต้นทางของข้อมูลได้ หรือการให้ความรู้กับเยาวชนผ่านระบบการศึกษาเพื่อให้แยกแยะได้ว่าอะไรคือข่าวปลอม ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าภาครัฐไม่มีทางปราบปรามข่าวปลอมได้ทั้งหมด
หากไม่สร้างการรู้เท่าทันให้กับประชาชน..เมื่อข่าวปลอมเกิดขึ้นย่อมมีผู้หลงเชื่ออยู่ร่ำไป!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี