วันที่ 17 มีนาคม 2563 นายลอยลม ประเสริฐศรี อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เขียนบทความ “ส่องกล้องมองนโยบายการจัดการปัญหาโรคระบาด COVID-19 ของรัฐบาลอังกฤษ” เผยแพร่ในเว็บไซต์จดหมายข่าว “เศรษฐสาร” ของคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. อธิบายว่าเหตุใดรัฐบาลอังกฤษถึงไม่เลือกใช้มาตรการปิดประเทศหรือปิดเมืองเพื่อสกัดการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 อย่างที่อีกหลายประเทศดำเนินการ ดังนี้
“หากผู้อ่านได้ติดตามข่าวสารการแก้ปัญหา COVID-19 ของรัฐบาลอังกฤษ อาจจะตกอกตกใจอยู่ไม่น้อยที่พาดหัวข่าวในสื่อหลัก มุ่งประเด็นที่รัฐบาลอังกฤษอาจปล่อยให้ประชากรกว่า 60% ของประเทศติดเชื้อ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันร่วม ที่เรียกว่า Herd immunity ซึ่งเปรียบได้กับการสร้างวัคซีนธรรมชาติในการต่อสู้กับการระบาดของโรค จนทำให้การระบาดรอบต่อๆ ไปเบาบางลง กลายเป็นโรคประจำถิ่นเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ในที่สุด ประกอบกับการที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ แถลงข่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า โรค COVID-19 เป็นโรคแห่งยุคสมัย และคนอังกฤษต้องเตรียมตัวเตรียมใจ หากจะต้องสูญเสียคนที่เรารักก่อนเวลาอันควร”
“จากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ หลายคนเมื่อได้อ่านและได้ฟังดังนั้นต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดรัฐบาลอังกฤษจึงกล้าเสี่ยงเอาชีวิตของประชาชนมาวางเดิมพันกับการแก้ปัญหาในครั้งนี้ เพราะถ้าหาก 60% ของประชากรติดเชื้อ จะทำให้มีผู้ป่วยราวๆ 40 ล้านคน ในจำนวนนี้ อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 1 ล้านคน ตามสถิติอัตราการเสียชีวิต (mortality rate) ของโรคนี้”
“ในขณะที่จีนและประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ เลือกใช้วิธีการปิดประเทศปิดเมือง (Lockdown) แต่อังกฤษกลับเลือกใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป เพราะอังกฤษไม่สามารถทุ่มเททรัพยากรได้มหาศาลอย่างที่จีนทำ การหาวิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์และทรัพยากรทางการแพทย์ที่จำกัดจึงมีความจำเป็น”
“เอาหละครับคราวนี้เราลองมาทำความเข้าใจแนวทางและเหตุผลเชิงนโยบายของรัฐบาลอังกฤษกันครับ ในการออกชุดของนโยบาย ทางการอังกฤษเรียกประชุมฉุกเฉินคณะทำงานเฉพาะกิจที่เรียกว่า COBRA (Cabinet Office Briefing Room A) ซึ่งเป็นการประชุมเฉพาะกิจเพื่อการตัดสินใจในวาระหรือวิกฤติการณ์ครั้งสำคัญของประเทศซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 1972 ในคราวนี้ ที่ประชุมได้มีการประสานองค์ความรู้จากสหวิทยาการหลากหลายสาขาโดยคลอดพิมพ์เขียวเป็นแผนการปฏิบัติงาน (Coronavirus action plan) เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน”
“ตามแผนปฏิบัติงาน มีการจัดแบ่งระดับขั้นของการระบาดและการแก้ปัญหาออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระยะควบคุม Contain phase เป็นระยะที่มีการสอบสวนโรค รักษา และการจำกัดวงการระบาดของโรค ระยะที่ 2 คือ Delay phase เป็นระยะเวลาที่มีการถ่วงเวลาการระบาดในวงกว้างให้ยาวนานที่สุด ตรงนี้มีชุดของมาตรการตามมา ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป ระยะที่ 3 คือ Research phase เป็นการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจพยาธิวิทยาของโรค ค้นหายาและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยแผนนี้ดำเนินควบคู่ไปตั้งแต่เริ่มต้นที่มีการระบาด และระยะที่ 4 คือ Mitigate phase คือการจัดการปัญหาให้บรรเทาเบาบางลง รวมถึงการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจสังคมภายหลังการระบาดใหญ่”
“ความสำคัญของแผนปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ที่ระยะ Delay phase ลองมาพิจารณาว่าทางการอังกฤษมีชุดมาตรการหรือนโยบายอะไรออกมาบ้าง..นับตั้งแต่เริ่มต้น คณะทำงานได้มีการมอบหมายงานให้นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารมวลชน ผลิตสื่อเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคระบาดและแนวทางการปฏิบัติแก่ประชาชน ผ่านทางเว็บไซต์และสื่อสาธารณะ , ออกแนวทางปฏิบัติสำหรับทุกคนที่มีอาการคล้ายหวัด ให้กักตัวเองอยู่ในบ้าน (self-isolate) เป็นเวลา 7 วัน ในกรณีสงสัยว่าเป็นอาการของโรค COVID-19 หรือไม่ ให้โทรเข้าสายด่วน 111 ห้ามเดินทางไปโรคพยาบาล ศูนย์การแพทย์ และร้านขายยา รวมถึงห้ามเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรค”
“รัฐบาลออกประกาศให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชยการหยุดงานที่เรียกว่า statutory sick pay (SSP) สัปดาห์ละราว 94 ปอนด์ในกรณีที่แพทย์สั่งให้กักโรค (Self-isolate) สำหรับผู้ป่วย COVID-19 เป็นกรณีพิเศษ , ผู้ป่วยที่ยืนยันว่าป่วยด้วยโรค COVID-19 โดยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและหายเองได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้รักษาอาการอยู่ที่บ้าน โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่หรือเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการรักษา โดยการรักษาในโรงพยาบาล จะใช้ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือเป็นคนไข้วิกฤติเท่านั้น เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล , การชะลอการนัดพบแพทย์เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยทั่วไป งดนัดการผ่าตัดที่ยังไม่จำเป็นมาก เพื่อให้มีความพร้อมด้านบุคลากรและสถานที่เพื่อรับมือกับการรักษาผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยวิกฤติ ในการนี้ รวมถึงร้องขอให้บุคลากรทางการแพทย์ที่เกษียณแล้วให้คอยแสตนบายด์ด้วย”
“มาตรการสำคัญคือการปกป้องกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงสุด คือ กลุ่มคนชราและผู้ที่มีโรคประจำตัว ในการนี้ รัฐบาลได้มีแผนการกักตัวผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ให้อยู่แต่ในบ้าน โดยทางการจะจัดส่งอาหารและเวชภัณฑ์ตามที่จำเป็น , ทางการอังกฤษไม่มีนโยบายปิดโรงเรียน ด้วยเหตุผลสองประการ คือ การหยุดโรงเรียนจะทำให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องหยุดงานเพื่อเลี้ยงดูบุตร อีกทั้งพนักงานทั่วไปอาจนำบุตรหลานไปฝากเลี้ยงกับปู่ย่าตายาย ซึ่งอาจเป็นพาหะนำเชื้อโรคไปสู่กลุ่มเสี่ยงที่เปราะบางที่สุดในสังคม การปิดโรงเรียนจึงทำเท่าที่จำเป็นเฉพาะการระงับการระบาด”
“การชะลอการระบาด ในระยะ Delay phase ดังที่กล่าวข้างต้น มีความสำคัญมากต่อการบริหารจัดการ โดยทางการมุ่งหวังว่า อย่างน้อยที่สุดระดับการระบาดสูงสุดควรจะต้องผ่านพ้นช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือเข้าสู่ฤดูร้อนถ้าเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้มีเวลาและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อรับมือกับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้น ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่หายจากโรคทางเดินหายใจที่มักมีอาการในช่วงฤดูหนาวเป็นประจำทุกปี”
“คราวนี้มาสู่ประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีการทำให้เกิดภูมิคุ้มกันร่วม ที่เรียกว่า Herd immunity ซึ่งรัฐบาลโดยที่ปรึกษารัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์ Patrick John Thompsom Vallance ให้เหตุผลว่า ในความเป็นจริงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการแพร่ระบาด ("it is not possible to stop everyone from getting it") ซึ่งในแง่มุมมองทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นการเพิ่มภูมิต้านทานต่อโรคของประชากรเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสในอนาคต หรือเมื่อเป็นก็ไม่รุนแรงเท่าเดิม แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้ทุกคนได้รับเชื้อในทันทีทันใด ซึ่งเป็นไปไม่ได้และเสี่ยงต่อการสูญเสียมากเกินไป ดังจะเห็นได้จากชุดมาตรการเสริมตามแผนการชะลอการระบาดดังที่กล่าวข้างต้น เป้าหมายคือ ถ่วงเวลาจนกว่าจะมียาและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมาใช้”
“หลายท่านอาจมีคำถามว่า ทำไมไม่เลือกใช้มาตรการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการปิดประเทศ หรือปิดเมืองอย่างที่ประเทศอื่นๆ ทำ ประการแรกเลย อังกฤษเห็นตัวอย่างการปิดเมืองของอิตาลี ซึ่งทำให้คนจากพื้นที่แพร่ระบาดหนีออกไปอยู่พื้นที่อื่นและประเทศอื่น การระบาดจึงลุกลามไปทั่วประเทศและทำให้ปัญหายุ่งยากและซับซ้อนขึ้น ประการต่อมา อังกฤษประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลที่รุนแรงเกินไป อันเนื่องมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างจะต้องหยุดชะงักลง”
“และประการสุดท้าย คือความมั่นคงทางอาหาร (Food security) ซึ่งมีเฉพาะสินค้าปศุสัตว์ เนื้อ นม ไข่ เท่านั้นที่อังกฤษสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ส่วนสินค้าอุปโภคและบริโภคอื่นๆ ยังพึ่งพาการนำเข้าค่อนข้างมากการขาดแคลนอาหารหรือสินค้าจำเป็นพื้นฐาน อาจทำให้เกิดปัญหาความโกลาหลและปัญหาอื่นๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้นได้”
“กล่าวโดยสรุป โดยสาระสำคัญของมาตรการจะสังเกตได้ว่าไม่ต่างอะไรกับที่ประเทศอื่นดำเนินการ เพียงแต่ประเทศเหล่านั้นไม่ได้อธิบายชัดๆ ในเรื่องเป้าหมายปลายทางเกี่ยวกับประเด็น Herd immunityสิ่งที่แตกต่างคืออังกฤษเลือกที่จะไม่ใช้วิธีการปิดเมืองปิดประเทศ ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อไปว่าผลลัพธ์ของมาตรการจะประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด..ในท้ายที่สุด ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงผ่านช่วงวิกฤติของโรคนี้โดยปลอดภัย”
ขอบคุณเรื่องจาก
http://www.setthasarn.econ.tu.ac.th/blog/detail/55/
.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/479920 (เนเธอร์แลนด์เอาจริง! ประกาศปล่อยปชช.ติดเชื้อ‘โควิด-19’หวังหายแล้วมีภูมิคุ้มกัน : 17 มี.ค. 2563)
.
https://www.naewna.com/inter/479616 (ลือหึ่ง!รัฐบาลผู้ดีปล่อยปชช.ติดโควิด หวังสร้างภูมิคุ้มกัน รมต.ยันไม่มีแผนดังกล่าว : 16 มี.ค. 2563)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี