12 ก.ค. 2564 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เสนอข่าว Thailand’s Lockdown-Like Virus Curbs Dent Economic Recovery Bets ระบุว่า ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งการว่างงานและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ จากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกล่าสุด เนื่องจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ครองสัดส่วนเศรษฐกิจถึงร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม GDP) ทั้งประเทศ
ทางการไทยสั่งปิดกิจการหลายอย่างในห้างสรรพสินค้า ไปจนถ้งร้านนวด สปา และสถานเสริมความงาม กำหนดให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐเกือบทั้งหมดทำงานที่บ้าน เข้มงวดการเดินทางข้ามพื้นที่ และประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านในยามวิกาล ครั้งล่าสุดจะมีผลตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 2564 เป็นต้นไปอย่างน้อย 14 วัน แต่นั่นเท่ากับเป็นการทำร้ายกิจการค้าปลีก สายการบิน ไปจนถึงร้านอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคมายาวนานกว่า 1 ปีแล้ว
ประเทศไทยยกระดับมาตรการเข้มงวดขึ้นเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์สายอินเดีย หรือเดลตา ที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ไวรัสกลายพันธุ์นั้นขัดขวางแผนการเปิดประเทศของไทย และมาตรการที่นำมาใช้อาจชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจากระดับที่ตกต่ำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ รวมถึงเป้าหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-Ocha) นายกรัฐมนตรีของไทย ที่ต้องการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ รองรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วให้ได้ภายในกลางเดือน ต.ค. 2564 ด้วย
มาเรีย ลาพิซ (Maria Lapiz) กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย กล่าวว่า ในการล็อกดาวน์แต่ละครั้ง แม้จะใช้เวลาเท่ากันแต่ผลกระทบจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลายบริษัทเริ่มแบกรับไม่ไหว จากหลายเดือนของรายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและต้นทุนการอยู่รอดที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นครัวเรือนไทยจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เช่นเดียวกับรายรับของธุรกิจที่ลดลง
เช่นเดียวกับ รธิกา เรา (Radhika Rao) นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารดีบีเอส ประเทศสิงคโปร์ ชี้ว่า ความเสี่ยงด้านลบกำลังเพิ่มขึ้นกับไทย ประเทศที่การเติบโตทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งก่อนจะมีประกาศล็อกดาวน์ครั้งล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มองเห็นความเสี่ยงด้านลบอยู่ก่อนแล้ว โดยคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ไว้เพียงร้อยละ 1.8
สถานการณ์โรคระบาดที่ยืดเยื้อจะบีบคั้นสภาพคล่องทางธุรกิจและกระทบการจ้างงานในภาคบริการ และหากแผนการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ล่าช้าไปถึงสิ้นปี 2565 กว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับคืนสู่ระดับก่อนยุคโควิด-19 ระบาด ต้องใช้เวลาถึงต้นปี 2566 เรา มองว่า ในขณะที่ความคาดหวังในปี 2564 นี้จะเป็นช่องให้พอหายใจสำหรับเศรษฐกิจเนื่องจากวัคซีน แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนกว่าการฉีดวัคซีนจะถึงระดับกว้างขวาง ความคาดหวังในการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายภาครัฐและการส่งออก ในขณะที่การบริโภคที่อ่อนแอทำให้แนวโน้มการลงทุนของภาคเอกชนแย่ลง
อัตราการว่างงานมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.96 ณ สิ้นไตรมาสแรก ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 เนื่องจากคนจำนวนมากอาจตกงานทั้งจากโรคระบาดและการควบคุมธุรกิจ ผลกระทบต่อภาคบริการในเมืองอาจทำให้ผู้คนหันหน้าสู่ภาคเกษตร ซึ่งมองเห็นได่้จากการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเมื่อปี 2563 ในเดือน มิ.ย. 2564 ธปท. พยากรณ์เศรษฐกิจไทยไว้เป็นอักษร W ในภาคแรงงานช้ากว่าการฟื้นตัวที่ผ่านมาในอดีต เนื่องจากรอยแผลเป็นเจ็บลึกในเศรษฐกิจภาคบริการซึ่งเปราะบาง
หนี้ครัวเรือนไทยซึ่งพุ่งสูงสูงสุดในรอบ 18 ปี อยู่ที่ร้อยละ 90.5 ของ GDP อาจเพิ่มขึ้นไปได้อีกจากการตกงานขาดรายได้จากมาตรการที่เข้มงวด ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย กำพล อดิเรกสมบัติ (Kampon Adireksombat) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCB CIO) ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนไปแล้ว 12 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอสำหรับประชากรราวร้อยละ 9 ของประเทศ
ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มการฉีดวัคซีนและพิจารณาใช้เงินจำนวนมากตามแผนเงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีคุณภาพมากกว่าการชดเชยกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจ กำพล ย้ำว่า การปิดเมืองโดยไม่เพิ่มการฉีดวัคซีน แม้ผู้ติดเชื้อจะลดลงแต่อีกไม่นานก็จะกลับมาเพิ่มอีกครั้ง กลายเป็นติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ (Ugly Cycle) ของการล็อกดาวน์และการเยียวยา ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจในปีหน้า
ส่วนด้านการลงทุน นักลงทุนได้แบกรับความหนักหน่วงจากการระบาดใหญ่ในประเทศไทยแล้วค่าเงินและหุ้นของประเทศร่วงลงติดต่อกัน 4 สัปดาห์ แม้ว่าเงินเหรียญสหรัฐจะแข็งซึ่งส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 14 เดือน แต่หุ้นได้รับความเดือดร้อนหนักจากนักลงทุนที่ถอนออกไปราว 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ รายได้ของผู้ประกอบการด้านสินค้าอุปโภค-บริโภค ธุรกิจค้าปลีก โรงแรม และผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอและข้อจำกัดอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ค่าเงินบาทอาจได้รับอิทธิพลจากเงินเหรียญสหรัฐมากกว่า
กำพล กล่าวทิ้งท้ายว่า นักลงทุนต่างชาติมักจะหลีกเลี่ยงตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงประเทศไทย ค่าเงินบาทจะยังคงอ่อนและธนาคารกลางจะเข้ามาเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปเท่านั้น แต่ก็น่าจะดีสำหรับการส่งออกซึ่งสนับสนุนเศรษฐกิจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี