“ไม่เสียสละ-เห็นแก่ตัว” คือคำก่นด่าที่ปรากฏบนพื้นที่ออนไลน์ กรณี “ทิ้งเมืองกลับบ้าน” ภาพคลื่นมหาชนเต็มสถานีขนส่งเพื่อซื้อตั๋วเดินทางกลับภูมิลำเนา หลัง กรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกประกาศ “ระลอกแรก” ปิดสถานบันเทิงต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2563 ตามด้วย “ระลอกสอง” ปิดห้างสรรพสินค้าและอื่นๆ ที่เป็นจุดชุมนุมร่วมกลุ่ม ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 2563 เพื่อสกัดการระบาดของ “ไวรัสโควิด-19” วิกฤติทั้งไทยและโลกขณะนี้
แม้จะมีเสียงตำหนิข้างต้น แต่อีกด้านหนึ่ง “งานหยุด-เงินนิ่ง-หนี้ยังวิ่ง..แล้วจะอยู่ทำไม?” ในกรุงเทพฯ ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ-ไฟฟ้า ค่าอาหาร ฯลฯ หลายคนไม่รู้ว่าจะหยุดงานไปอีกนานเท่าใด รวมถึงบางบริษัทหยุดโดยไม่จ่ายค่าจ้าง หรือบางองค์กรก็ถือโอกาสเลิกจ้าง ส่วนผู้ที่ค้าขายหรือประกอบอาชีพอิสระก็มีรายได้ลดลงจากลูกค้าที่หายไปอย่างน้อยกลับต่างจังหวัดก็ช่วยลดค่าครองชีพได้ระดับหนึ่ง
24 มี.ค. 2563 เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเศษ หรือราว 2 ชั่วโมง หลังการเปิดเผยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าเตรียมประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในวันที่ 26 มี.ค. 2563 หรืออีก 2 วัน หลังจากนี้“สกู๊ปแนวหน้า” ได้เดินทางไปยัง “สถานีขนส่งหมอชิต (รถทัวร์)”บรรยากาศโดยรวมยังพบผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติรอเดินทางกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก
“พวง” หญิงวัย 36 ปี ชาว จ.เพชรบูรณ์ เดินทางมากับแฟนหนุ่มซึ่งทั้ง 2 มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง โดยงานล่าสุดอยู่ที่ จ.นครปฐม กล่าวว่า “การกลับบ้านครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการสั่งปิดสถานที่หรือสั่งหยุดงาน..แต่ขอกลับเองเพราะกังวลเรื่องโรคระบาด” และพอทราบความกังวลจากคนที่ไม่อยากให้กลับภูมิลำเนาอยู่บ้าง รวมถึงข้อปฏิบัติเมื่อเดินทางถึงบ้านแล้ว
“มีน้องที่นั่งรถตู้อยู่ด้วยกัน เขาบอกว่าถ้าเรากลับต่างจังหวัด กลับถึงบ้านเราแล้วให้กักตัวอยู่ที่บ้าน ห้ามออกไปตลาดไปโน่นไปนี่ ไปสังสรรค์ ที่เขาพูดว่าอย่ากลับก็เข้าใจตรงนั้นเพราะมันเป็นเชื้อโรคที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ มันเป็นผลดีกับครอบครัวเรา เขาอยู่ท้องไร่ท้องนาก็ดีอยู่แล้ว อยู่ดีๆ เราไปเอาเชื้อโรคไปแพร่ แล้วเป็นคนแก่ แต่ก็พอได้ฟังวิธีป้องกันมา อย่างปิดจมูก คือระวังในการใช้ชีวิตประจำวัน เราต้องเป็นฝ่ายระวังเชื้อโรคไม่ให้ไปหาคนแก่ซึ่งเขาก็อยู่ของเขาดีอยู่แล้ว ล้างมือกินช้อนกลาง กินแยกต่างหาก” พวง กล่าว
ขณะที่ “สน” หนุ่มใหญ่วัย 53 ปี ชาว จ.อำนาจเจริญ เดิมมีอาชีพขับรถแท็กซี่ แต่เจอ “มรสุมชีวิต 2 ระลอกซ้อน” จากเคยพยายามผ่อนแท็กซี่ของตนเอง ปัญหาเศรษฐกิจซบเซาทำให้ผู้โดยสารมีไม่มากนัก รายได้ไม่พอต้องยอมตัดใจปล่อยรถถูกยึดไปเพราะผ่อนต่อไม่ไหว ต่อมาเมื่อหันมาเช่าแท็กซี่ขับยังเจอวิกฤติไวรัสโควิด-19 ระบาด ขับได้เพียงไม่กี่วันก็ต้องเลิกเพราะผู้โดยสารยิ่งหายไปอีก และตัดสินใจเดินทางกลับภูมิลำเนาในที่สุด
“ผมไม่กลัว (โรค) นะ ขอให้รายได้มันอยู่คงตัวมีค่าเช่า มีกิน ผมไม่กลัว แต่มันตัดไปแบบนี้มันสู้ไม่ไหว ถ้ารายได้มันดีก็ไม่กลับ เราต้องสู้ต่อถ้ามันอยู่ได้ แต่ทีนี้มันอยู่ไม่ได้เราไม่มีรายได้ บ้านต้องเช่า ค่าแท็กซี่ ทุกอย่างต้องซื้อหมดในกรุงเทพฯ แล้วสิ้นเดือนเขาก็จ้องแล้ว เงินมันหมุนเวียนไงคนขับแท็กซี่ มันไม่คุ้ม มันไม่มีอะไร” หนุ่มใหญ่อดีตโชเฟอร์แท็กซี่ผู้นี้ ระบุ
แต่สำหรับ “มาร์ค” ชายวัย 22 ปี ชาว จ.บึงกาฬ ยอมรับว่าเป็น “ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติไวรัสโควิด-19” เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งทำงานในโรงแรมแห่งหนึ่งได้เพียง 6-7 เดือน กระทั่ง “ทางการประกาศปิดสถานที่ต่างๆ ทำให้กลายเป็นคนตกงาน” จึงขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน หากในอนาคตสถานการณ์ดีขึ้นก็อาจจะกลับมาหางานทำในกรุงเทพฯ อีกครั้ง
“ก็มีคนพูดกับผมนะว่ากลับบ้านไปจะเอาโรคไปแพร่หรือเปล่า ผมก็คิดนะ แต่ว่าถ้าไม่ให้กลับบ้านแล้วจะไปอยู่ไหน บ้านก็เป็นหนทางสุดท้าย เอาตรงๆ อันนี้ว่างงานตกงานเลย หลังสงกรานต์ค่อยว่ากันใหม่ กลับบ้านไปทำสวนที่บ้านมีสวนยางพารา ที่บ้านก็ไม่ได้เสียสตางค์อะไรมากมาย ก็อยู่บ้านของตัวเอง ที่เสียก็ค่าน้ำค่าไฟเล็กน้อย ก็ใส่ผ้าปิดจมูก ฆ่าเชื้อ” มาร์ค กล่าว
จากหมอชิต ผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึง “สถานีรถไฟหัวลำโพง” ในเวลาประมาณหนึ่งทุ่มเศษ บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ยังมีผู้รอต่อแถวซื้อตั๋วและนั่งรอขบวนรถอยู่ประปราย ซึ่ง สมบูรณ์ ชายวัย 45 ปี ชาว จ.สุรินทร์ อาชีพขับรถแท็กซี่ที่ทำมาหากินย่านดังกล่าวมาร่วม 20 ปี เล่าว่า ผู้คนจำนวนมากเดินทางกลับไปตั้งแต่วันที่ 22-23 มี.ค. 2563 แล้ว “ตนเองไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะมีลูกเรียนชั้นมัธยม” แต่ก็เข้าใจคนที่จำเป็นต้องกลับภูมิลำเนา “อยู่กรุงเทพฯ จะออกไปไหนก็ต้องใช้เงิน อยู่บ้านหุงข้าวหม้อเดียว ตำน้ำพริกถ้วยเดียว แกงก็ทั้งครอบครัวอิ่ม” เป็นต้น
“กรณีที่กลับบางครั้งก็ลดค่าใช้จ่าย เหมือนว่าผมอยู่ที่นี่ต้องใช้เงินเพิ่ม แต่กลับบ้านเกิดเขาปิดเมืองเราก็อาจจะอยู่บ้าน ถ้าปิดเมืองแล้วเราจะไปซื้ออะไร อาหารมันก็ยุ่งยาก ก็ต้องเซฟ แต่อยู่ที่นี่ก็ต้องปิดจมูก ป้องกัน ดูแล้วว่าไม่ไว้วางใจก็หลีกเลี่ยง ห่างจากเขาประมาณ 2-3 เมตร ก็ดูสถานการณ์ ดูกลุ่มเสี่ยง ถ้าเสี่ยงเราก็ไม่เข้า” โชเฟอร์แท็กซี่ย่านหัวลำโพงผู้นี้ กล่าว
ทั้งนี้ คำแนะนำจาก กรมอนามัย ถึงผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในการป้องกันไวรัสโควิด-19 ระบาด ได้แก่ 1.หมั่นวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวัน หากสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส และมีอาการอื่นๆ เช่น ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย ให้รีบไปพบแพทย์ 2.ดูแลสุขภาพอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อยร้อยละ 70 ปิดปาก-จมูกด้วยกระดาษทิชชูทุกครั้งที่ไอจาม
3.งดกิจกรรมนอกบ้านและหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้อื่น พยายามเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุเนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตสูงมากหากได้รับเชื้อ หากจำเป็นต้องพบปะผู้อื่นควรสวมหน้ากากอนามัย อยู่อาศัยในห้องแยกต่างหาก การรับประทานอาหารและดื่มน้ำต้องจัดอาหาร-น้ำแยกต่างหาก 4.แยกขยะ เป็นขยะธรรมดา เช่น ถุงพลาสติก ขวด ภาชนะใส่อาหาร ฯลฯ กับขยะติดเชื้อเช่น หน้ากากอนามัย กระดาษทิสชู 5.แยกห้องส้วมหากทำได้ แต่หากทำไม่ได้ ให้ปิดฝาชักโครกแล้วกดน้ำเพื่อป้องกันเชื้อกระจาย และทำความสะอาดส้วมทันที
ทั้งหมดนี้ต้องทำเป็นเวลา 14 วัน..เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัวอันเป็นที่รัก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี