“ราชาแห่งผลไม้” คือสมญานามของ “ทุเรียน” ซึ่งมาจากลักษณะภายนอกที่มีเปลือกเป็นหนามคล้ายมงกุฎของพระราชาในเทพนิยายประกอบกับเนื้อผลไม้ชนิดนี้ที่มีรสชาติอร่อย ทุเรียนเป็นพืชที่พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีตลาดสำคัญอยู่ที่ ประเทศจีนเห็นได้จากที่ผ่านมามักมีเสียงบ่นเบาๆ “คนไทยอย่าหวังได้กินทุเรียนเพราะคนจีนเหมาซื้อไปหมด” กระทั่งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้การส่งออกทุเรียนชะลอตัวลง เนื่องจากข้อจำกัดในการเดินทางข้ามประเทศ
แต่ล่าสุดเมื่อสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในเมืองไทยเริ่มเบาบางลงส่วนที่เมืองจีนแม้จะมีการระบาดระลอก 2 แต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรงเท่าระลอกแรก ตลาดส่งออกทุเรียนจึงเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งทำให้เกษตรกรพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ดังเมื่อเร็วๆ นี้ ทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” ติดตามคณะทำงานของ มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ไปเยี่ยมพื้นที่ จ.ยะลา ซึ่งด้านหนึ่งแม้จะเป็นหนึ่ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส) ที่มีเหตุความรุนแรงต่อเนื่องยาวนาน แต่อีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านก็พยายามที่จะดำรงชีพให้ได้แบบพึ่งพาตนเอง
“โครงการทุเรียนคุณภาพ” หรือโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพตามศาสตร์พระราชาในจังหวัดชายแดนใต้ ที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ทำงานร่วมกับทางจังหวัด ซึ่ง การัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าวว่า ช่วงเดือนมิถุนายน ถือเป็นต้นฤดูทุเรียนของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และคาดหมายว่า หากเกษตรกรปฏิบัติตามคู่มือทุเรียนคุณภาพอย่างเคร่งครัด เมื่อถึงสิ้นสุดฤดูจะได้ทุเรียนคุณภาพ เกรด เอบี ถึงร้อยละ 85 ของผลผลิตที่ตั้งเป้าหมายไว้
“การส่งเสริมทุเรียนคุณภาพ 3 จังหวัดชายแดนใต้ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ปิดทองหลังพระฯ ร่วมกับจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี รวมทั้งเกษตรจังหวัดและเกษตรอำเภอเป็นพี่เลี้ยงเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในการปรับปรุงคุณภาพการปลูกและดูแลบำรุงต้นทุเรียนเดิมของเกษตรกรให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน GAP ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ” ผอ.สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าว
หนึ่งในเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ อาแว แบรอ เล่าว่า บ้านเกิดอยู่ที่ จ.ปัตตานี แต่ย้ายมาอยู่ จ.ยะลา ตั้งแต่ปี 2528 ประกอบอาชีพทำสวนทุเรียนมา 25 ปี โดยปลูกพันธุ์หมอนทอง ก้านยาว ชะนี และทุเรียนเบญจพรรณ โดยเข้าร่วมโครงการครั้งแรก ในปี 2562 มีต้นทุเรียนเข้าร่วมโครงการจำนวน 42 ต้น ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความรู้ในการผลิตทุเรียน เนื่องจากที่ผ่านมาผลผลิตจะมีหนอนเจาะเมล็ดมาก ผลเล็กไม่ได้ขนาด ลำต้นไม่สมบูรณ์ ไม่มีความรู้เรื่องโรคและแมลง และไม่รู้วิธีป้องกันรักษา
“หลังเข้าร่วมโครงการจึงเริ่มมีความรู้และปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลแบบดั้งเดิมมาทำทุเรียนคุณภาพ รู้จักวิธีการดูแลบำรุงลำต้น โดยการใช้ปุ๋ยแยกประเภทของระยะทุเรียน อาทิ ปุ๋ยสูตรดูแลทุเรียน มีการควบคุมน้ำในแต่ละระยะ การผสมเกสร การแต่งดอกแต่งผลการค้ำกิ่งและโยงกิ่ง และที่สำคัญรู้จักการจดบันทึกวันดอกบานของทุเรียนเพื่อป้องกันการตัดทุเรียนอ่อน ซึ่งเมื่อปี 2562 ที่เข้าร่วมโครงการปีแรกนั้นด้วยความที่ไม่รู้ทำให้ตัดทุเรียนอ่อนไปเป็นจำนวนมาก สูญเสียรายได้ไปอย่างน่าเสียดาย” อาแว ระบุ
อาแวเล่าต่อไปว่า ผลทุเรียนจากสวนที่นำออกจำหน่ายระหว่างวันที่ 8 ก.ค.-15 ก.ย. 2562 จากทุเรียนจำนวน 42 ต้น ขายได้ทั้งหมด 3,622 กิโลกรัม แบ่งเป็นเกรด AB 1,184 กิโลกรัม เกรด C 1,729 กิโลกรัม และตกไซส์ 709 กิโลกรัม มีรายได้ 242,919 บาท เฉลี่ยต่อต้น 6,073 บาท แต่คิดเป็นเกรด AB เพียงร้อยละ 33 เท่านั้น จึงสนใจเข้าร่วมโครงการทุเรียนคุณภาพเป็นปีที่ 2 ในปี 2563 โดยครั้งนี้มีจำนวนทุเรียนที่เข้าร่วม 56 ต้น พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ 1 ไร่
ซึ่งจากประสบการณ์ 1 ปี หลังจากเข้าร่วมโครงการ เกษตรกรและอาสาได้ร่วมกันวางแผนการดูแลทุเรียนฤดูการผลิต 2563 โดยการนำความรู้และประสบการณ์จากปีที่แล้วมาพัฒนาการผลิตทุเรียนให้ได้คุณภาพยิ่งขึ้น มั่นใจว่าสามารถพัฒนาทุเรียนตามหลักเกณฑ์ที่ทางปิดทองฯ วางไว้ และได้ทุเรียนมาตรฐานส่งออกมากกว่าปีที่ผ่านมา ที่สำคัญหากในอนาคตอายุมากขึ้นจนดูแลสวนทุเรียนด้วยตนเองไม่ได้อีก จะได้นำความรู้นี้ไปสอนลูกหลาน
“การเข้าร่วมโครงการนี้เป็นการพัฒนาคนให้มีความรู้ เมื่อมีความรู้แล้วก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนได้ เมื่อตัวเราพัฒนาแล้วจึงทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ดีขึ้น และในการทำงานในสวนจากที่เคยทำเองคนเดียว ปัจจุบันนี้ทั้งภรรยา ลูก และลูกเขยก็มาช่วยงานในสวนทุเรียน ทำให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน และมีความอบอุ่นในครอบครัวมากยิ่งขึ้น” อาแว กล่าวย้ำ
ขณะที่ จอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) เปิดเผยว่า ปีนี้ CP ได้ให้โควตากับโครงการของปิดทองหลังพระฯ ทั้งหมด 100 ตู้คอนเทนเนอร์ ตู้ละประมาณ 18 ตัน หรือรวมประมาณ 1,800 ตัน หรือเกือบครึ่งหนึ่งที่ CP ส่งออกอยู่ประมาณ 250 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 4,500 ตัน “ทุเรียนยังคงเป็นที่นิยมในตลาดผลไม้ของจีน” เห็นได้จากการปลูกทุเรียนในไทยที่ให้ผลผลิตรวมทั้งประมาณราว 900,000 ตัน จำนวนนี้ส่งออกร้อยละ 85 และเกือบทั้งหมดของการส่งออกมีปลายทางอยู่ที่ประเทศจีน
ทั้งนี้ ชาวจีนนิยมบริโภคทุเรียนหมอนทองซึ่งเป็นผลผลิตหลัก หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 80 ของทุเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จึงทำให้เห็นโอกาสที่จะพัฒนาทุเรียนให้ได้คุณภาพส่งออก เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่มากขึ้น โดยผลผลิตทุเรียนทั่วภาคใต้คิดเป็นร้อยละ 40 ของทั้งประเทศ พื้นที่ให้ผลผลิตมากที่สุดของภาคใต้อยู่ใน จ.ชุมพร ขณะที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้ผลผลิตรวมกันอยู่ประมาณร้อยละ 7-8 ของทั้งประเทศ
“ทุเรียนไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนจีนเป็นอย่างมากก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่ายอดขายคงตกและคงไม่ได้ราคาเพราะสถานการณ์โควิด-19 ที่จะทำให้กำลังซื้อคนน้อยลง แต่ปรากฏว่าตรงกันข้าม ยอดคำสั่งทุเรียนสูงขึ้นโดยยอดส่งออกโดยรวม 4 เดือนแรกโตขึ้นร้อยละ 30-40 หลักๆ มาจากจีน จึงถือเป็นโอกาสทองของคนปลูกทุเรียนสำหรับปีนี้ ซึ่งถ้าตลาดปีนี้ถึงปีหน้าโตที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็จะโตเหมือนกัน” จอมกิตติ ระบุ
ด้าน ชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวเสริมว่า ด้วยความร่วมมือของประชาชน ทำให้ จ.ยะลา ที่เคยมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงในช่วงแรกๆ คลี่คลายลงโดยปัจจุบันไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ โครงการสำคัญต่างๆ ของจังหวัดจึงกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือความร่วมมือระหว่างทางจังหวัดมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ และคาดหวังว่า ความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ความเป็น “เมืองทุเรียน” ของ จ.ยะลา
อันหมายถึงการเป็นพื้นที่ปลูกทุเรียนคุณภาพควบคู่กับการบริหารจัดการเชิงธุรกิจ และมีตลาดต่างประเทศรองรับ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี