“ความมั่นคงทางพลังงาน” หมายถึงการมีพลังงานเพียงพอใช้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งสำหรับประเทศไทยแม้จะได้ชื่อว่า “ในน้ำมีปลา..ในนามีข้าว” หรือมีความอุดมสมบูรณ์ด้านอาหาร แต่สำหรับพลังงานนั้นแตกต่างออกไป เช่น ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ระบุว่า กว่าร้อยละ 80 ของน้ำมันดิบในประเทศไทยมีที่มาจากการนำเข้า ในขณะที่ข้อมูลจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ก็ชี้ว่า ก๊าซธรรมชาติกลายเป็นพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา
“การสร้างสมดุลของเสถียรภาพของไฟฟ้าถึงต้องมีเชื้อเพลิงหลายๆ ด้าน โซลาร์ก็ต้องทำ ขยะก็ต้องทำ ชีวมวลก็ต้องทำ ถ่านหินก็ต้องทำ ก๊าซก็ต้องทำ เพราะถ้าเมื่อไร อนาคตสมมุติว่าเราบอกจะใช้ก๊าซอย่างเดียว เกิดก๊าซใช้ไปอีก 100 ปี 80 ปี อาจจะไม่ใช่ยุคเราแล้ว เราอาจจะเกิดมายุคที่ 3 ที่ 4 เกิดก๊าซมันหมดแล้วไม่มีโรงไฟฟ้าประเภทอื่นมาชดเชย ถามว่าเป็นปัญหาไหม”
คำกล่าวของ กิตติพงษ์ ภิญโญตระกูล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในงานแถลงข่าวการจัดตั้งเครือข่ายสื่อมวลชนไทยใส่ใจทางเลือกใหม่พลังงานไฟฟ้า ที่ รร.สวิสโซเทลเลอ คองคอร์ด ย่านรัชดา กรุงเทพฯเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สื่อมวลชนในฐานะคนกลางระหว่างภาคส่วนต่างๆ ได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านพลังงานของไทย
เอกสาร “สถานการณ์ภาพรวมพลังงานในประเทศไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP)” จัดทำโดย มนูญศิริวรรณ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ซึ่งมาร่วมแถลงข่าวในงานดังกล่าวเช่นกัน ยกตัวอย่างปัจจัยที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางพลังงาน เช่น หากอ้างอิงข้อมูลจาก กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ว่าด้วยปริมาณสำรองปิโตรเลียม (Reserves) ของไทย ณ สิ้นปี 2561 จะพบว่า หากไม่มีการลงทุนสำรวจและพัฒนาแหล่งเพิ่ม ไทยจะมีก๊าซใช้ในอัตรานี้ไปอีกเพียง 5 ปีเท่านั้น
เช่นเดียวกับข้อมูลจากการไฟฟ้าทั้ง 3 องค์กร (การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และของ กกพ. ณ ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 พบว่า เพิ่มขึ้นในทุกสาขาเศรษฐกิจ อันดับ 1 เป็นภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 รองลงมาเป็นภาคธุรกิจ ร้อยละ 8.6 จึงเป็นที่มาของการเพิ่มบทบาทของ “พลังงานทางเลือก” ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) พลังงานชีวมวล พลังงานจากขยะ รวมถึงพลังงานลม
มนูญ กล่าวถึงโครงการ“โซลาร์ภาคประชาชน” ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ กับโครงการ “การผลิตไฟฟ้าจากขยะ” เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยผลิตขยะมูลฝอยเป็นจำนวนมาก หลายชุมชนมีปัญหาขยะล้นแต่ไม่รู้ว่าจะกำจัดอย่างไร ถึงกระนั้น สำหรับโรงไฟฟ้าจากขยะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก่อสร้าง ดังจะเห็นข่าวอยู่เนืองๆ ว่ามีโครงการที่ใดมีการต่อต้านที่นั่น
“ชุมชนไม่เข้าใจว่าการกำจัดขยะสามารถทำได้แบบถูกวิธี มีเทคโนโลยีสูง และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ ฉะนั้นเวลาใครจะไปสร้างโรงไฟฟ้าขยะในชุมชนก็จะไม่ได้รับการตอบรับจากชุมชนฉะนั้นสื่อจะเป็นผู้ที่ไปดูงาน แล้วก็เอาเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ไปถ่ายทอดให้กับชุมชน ให้ชุมชนเกิดความเข้าใจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปล้างสมองชาวบ้าน หรือกล่อมชาวบ้านให้เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้าขยะ หรือโรงไฟฟ้าที่มันจะทำให้เกิดปัญหากับชุมชน
แต่หมายความว่าเราจะนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้ไปถ่ายทอดให้ประชาชนเห็นว่า มันมีเทคโนโลยีที่จะสามารถควบคุมเรื่องมลภาวะได้ แล้วถ้าเราจะไปสร้างโรงไฟฟ้าที่ไหน จะนำเอาโครงการเหล่านี้ไปพัฒนาชุมชนที่ไหน มันต้องเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม สร้างประโยชน์สุขให้กับชาวบ้าน แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะด้วย พูดง่ายๆ เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม รักษาเรื่องของมลภาวะด้วย และทำให้ชุมชนได้รับประโยชน์จากการใช้พลังงานด้วย”มนูญ กล่าวถึงบทบาทของสื่อมวลชนกับการสร้างความเข้าใจด้านพลังงานกับประชาชน
มนูญ ยังกล่าวอีกว่า แสงอาทิตย์ และขยะถือเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับพลังงานหมุนเวียน แสงอาทิตย์นั้นมีอยู่ทั่วไป เป็นเชื้อเพลิงราคาถูกและเหมาะสมกับประเทศ ส่วนขยะนั้นเป็นปัญหาของชุมชน จึงเป็นที่มาของการเน้นไปที่เชื้อเพลิงทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อน แต่การจัดตั้งเครือข่ายสื่อมวลชนไทยใส่ใจทางเลือกใหม่พลังงานไฟฟ้านั้นเปิดกว้างสำหรับพลังงานประเภทอื่นๆ เช่น ชีวมวลหรือวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตร อันสอดคล้องกับแนวคิดโรงไฟฟ้าของชุมชน
กลับมาที่ กิตติพงษ์ กล่าวถึง ประเด็นท้าทายเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นและมีราคาถูกลง “หากภาคธุรกิจลงทุนใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในกระบวนการผลิตช่วงกลางวัน ขณะที่กลางคืนยังต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากการไฟฟ้าต่างๆ” สิ่งที่ต้องคิดคือ “การไฟฟ้าจะยังรู้สึกคุ้มค่าพอจะลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าต่อไปหรือไม่”เพราะการไฟฟ้าลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าซึ่งเดินกำลังผลิตได้ 24 ชั่วโมง แต่ขายไฟฟ้าให้ภาคธุรกิจได้เพียง 12 ชั่วโมง และการไฟฟ้าต้องสำรองไฟฟ้านั้นก็มีต้นทุน
เช่นเดียวกับประเด็นโรงไฟฟ้าขยะที่มีผู้ตั้งคำถามว่า “ขยะในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นขยะเปียก (เช่น เศษอาหาร) จะคุ้มค่าจริงหรือในการนำไปเผาเพื่อสร้างพลังงานผลิตกระแสไฟฟ้า” ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยการบริหารจัดการ “หากทำให้ขยะมีมูลค่าขึ้นมาได้ การคัดแยกขยะจะตามมา”เช่น ขยะเปียกแยกไว้สำหรับนำไปทำปุ๋ย ขยะประเภทอื่นๆ ที่สามารถนำไปทำเชื้อเพลิงได้ก็จะถูกส่งเข้าโรงไฟฟ้า เป็นต้น!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี