ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม “อาชีพเกษตรกร” เป็นอาชีพที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างช้านาน เนื่องด้วยภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม เอื้อต่อการทำการเกษตร ประชากรส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับอาชีพทางการเกษตร และประเทศต้องพึ่งพาเกษตรกรรมในการหารายได้มาโดยตลอดการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยหลายชนิดประสบความสำเร็จอย่างดี และเป็นผู้นำในระดับนานาชาติ
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อเดือนเมษายนปี 2563 พบว่า ประเทศไทย มีเกษตรกรทั้งสิ้น 8,094,954ครัวเรือน 9,368,245 ราย โดยมีเกษตรกรมากถึง 4,900,875 ราย ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกพืชเป็นหลัก แต่ในปัจจุบัน มีการทำเกษตรแบบผสมผสานปลูกพืช-
เลี้ยงสัตว์ หรือไร่นาสวนผสมมากกว่า 37% ของเกษตรกรทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยงจากการทำเกษตรเป็นอย่างเดียว
ส่วนข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวนเกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งหากย้อนไปในปี 2557 เกษตรกรไทยมีจำนวน 6,047,824 ครัวเรือน ปี 2558 จำนวน 6,516,347 ครัวเรือน ปี 2559 จำนวน 6,813,995 ครัวเรือน ปี 2560 7,010,191 ครัวเรือนปี 2561 มีเกษตรกรเพิ่มเป็น 7,271,759 ครัวเรือน
ภาคที่มีเกษตรกรมากที่สุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีมากเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ เนื่องจากเป็นภาคที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เหมาะกับการเกษตรส่วนจังหวัดที่มีเกษตรมากที่สุดคืออุบลราชธานี
แต่อย่างไรก็ตาม อาชีพเกษตรกร กลับไม่ค่อยมีความสะดวกสบาย หรือความมั่นคงทางด้านการเงินเท่าที่ควรเพราะรายได้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพฝนฟ้าอากาศ หรือ เรื่องของกลไกการตลาดที่เป็นปัจจัยควบคุมราคาสินค้า
โดยที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีข่าวคราวความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรออกมาเป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องพืชผลที่ผลิตออกมานั้น มีราคาตกต่ำ ต้องประสบปัญหาความเดือดร้อนรายได้ไม่เพียงพอ ไม่สมดุลกับที่ลงทุนลงแรงไป และทำให้เกิดปัญหาหนี้สินต้องออกมาร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลทุกสมัย ต่างก็หานโยบายเพื่อมาช่วยพี่น้องเกษตรกรให้พ้นจากปัญหาความยากจนซึ่งแต่ละยุค แต่ละสมัย ก็จะมีนโยบายต่างๆ ออกมาใช้ ซึ่งก็มีทั้งความแตกต่างและคล้ายคลึงปะปนกันไป
สำหรับรัฐบาลชุดนี้ ก็มีหลายมาตรการที่คิดออกมาเพื่อช่วยเกษตรกรไทย โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ที่มี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นแม่ทัพ ก็ได้นำโครงการประกันรายได้เกษตรกรออกมาใช้ซึ่งโครงการนี้ รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562
โดยโครงการนี้ ได้มีการประกันรายได้เกษตรกรในพืชเกษตร5 ตัว ประกอบไปด้วย 1.ประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว ทั้งข้าวหอมมะลิข้าวหอมปทุม ข้าวหอมนอกพื้นที่ ข้าวเหนียว ข้าวเปลือกเจ้า2.ประกันรายได้ผู้ปลูกมันสำปะหลัง กิโลกรัมละ 2.50 บาท 3.ประกันรายได้ยางพารา ยางแผ่นดิบชั้น 3 กิโลกรัมละ 60 บาทน้ำยางข้น 57 บาท ยางก้อนถ้วยกิโลกรัมละ 23 บาท 4.ประกันรายได้ปาล์มกิโลกรัมละ 4 บาท และ 5.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กิโลกรัมละ 8.50 บาท
ในช่วงที่ผ่านมา นายจุรินทร์ได้นำทีมออกไปพบปะเกษตรกรและติดตามความคืบหน้าการดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกร ในพืชเกษตร 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว
มันสําปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในหลายจังหวัด ซึ่งโครงการนี้ รัฐบาลได้จัดสรรวงเงิน 67,754ล้านบาท และมีเกษตรกรที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ กว่า 7.3 ล้านครัวเรือน โดยจ่ายเงินชดเชยพืชทั้ง 5 ชนิดไปแล้วกว่า 54,762 ล้านบาท ให้เกษตรกรกว่า 3.4 ล้านครัวเรือน
โดยพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรมากที่สุดในประเทศไทย ได้มีการจ่ายเงินชดเชยพืชทั้ง 5 ชนิดไปแล้วกว่า 11,703 ล้านบาทจำนวนเกษตรกร 904,020 ครัวเรือน แบ่งเป็น ข้าว 877 ล้านบาทจำนวนเกษตรกร 115,789 ครัวเรือน ปาล์มน้ำมัน 249 ล้านบาทจำนวนเกษตรกร 27,365 ครัวเรือน ยางพารา 6,430 ล้านบาทจำนวนเกษตรกร 364,939 ครัวเรือน มันสำปะหลัง 3,975ล้านบาท จำนวนเกษตรกร 340,243 ครัวเรือน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 170 ล้านบาท จำนวนเกษตรกร 55,684 ครัวเรือน
นายจุรินทร์ ยืนยันว่าตราบใดที่ยังมีรัฐบาลชุดนี้ เราจะต้องทำโครงการนี้ต่อไป
ล่าสุด นายจุรินทร์ ได้เดินทางไปประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางและสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/2563 ณ ที่ว่าการอําเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซึ่งก็ได้อธิบายถึงโครงการประกันรายได้ว่า ไม่ใช่“ประกันราคา” เช่นยางประกันรายได้ ไม่ใช่ว่ายางจะต้องราคากิโลกรัมละ 40, 50, 60 ราคาต้องเป็นไปตามกลไกตลาด ไม่สามารถสั่งขึ้นสั่งลงได้ถ้าคนต้องการมากราคาก็สูง ไม่เช่นนั้นจะผิดหลักองค์การการค้าโลก ราคาต้องเป็นไปตามกลไกของตลาด
สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ประกัน คือ ประกันรายได้เพราะสถานการณ์ในอนาคตหลายตัวมีปัญหา ถ้าน้ำมันราคาลง ราคาถูก คนจะหันไปใช้ยางเทียมมากขึ้น เพราะยางเทียมทำจากน้ำมัน น้ำมันถูก ยางเทียมก็จะถูก บ้านเรายาง 100 กิโลกรัมเอาไปทำยางรถยนต์ 80 กิโลกรัม ถ้าเศรษฐกิจดีรถยนต์ขายดี ยางรถยนต์ก็จะขายดีไปด้วย แต่ถ้าราคาน้ำมันตกส่วนผสมถ้าทำจากยางพาราแพงก็จะนำยางเทียมไปผสมมากขึ้น เพราะยางเทียมราคาถูกมากกว่า เพราะผลิตจากน้ำมันยางก็จะราคาตก
นายจุรินทร์ อธิบายต่อไปว่า ถ้าวันไหนราคายางตกกว่าราคาที่ประกัน 60 บาทจะมีช่องว่างระหว่าง 60 บาท กับราคาในตลาด วันนี้ยางเฉลี่ยกิโลกรัมละประมาณ 40 บาทรัฐบาลจะประกันราคาที่ 60 บาท จะมีส่วนต่างอยู่ 20 บาทต่อ 1 กิโลกรัม เมื่อมีนโยบายประกันรายได้ ไม่งั้นจะมีรายได้ทางเดียวจากยางแผ่นกิโลกรัมละ 40 บาท แต่ถ้ามีประกันรายได้ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 ทาง ทางที่ 1 เอายางไปขายที่ร้านได้กิโลกรัมละ 40 บาท ทางที่ 2 จะได้ส่วนต่างอีกกิโลกรัมละ20 บาท มาใส่กระเป๋าขวา เป็น 60 บาท ตามรายได้ที่ประกันซึ่งเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกรได้จริง
สำหรับการเดินทางลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง เป็นไปด้วยความคึกคัก เพราะจะเปิดโอกาสให้ตัวแทนเกษตรกรเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น เล่าถึงปัญหา และข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อสะท้อนผลการดำเนินโครงการฯ ของรัฐบาล ซึ่งพบว่า ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจและเรียกร้องให้รัฐบาลประกันรายได้ให้แก่เกษตรกรทั้ง 5 ชนิด ในปีต่อไป
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในสภาวการณ์ปัจจุบัน เศรษฐกิจ ทั่วโลกชะลอตัว เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ทุกประเทศได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันหมด แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยของเรามีจุดแข็งตรงที่สามารถผลิตสินค้าเกษตรออกจำหน่ายไปได้ทั่วโลกเราจึงเป็นแหล่งวัตถุดิบทางด้านอาหารที่สำคัญ ดังนั้น หากมีการบริหารจัดการที่ดี ปรับตัวตามสถานการณ์โลก ปรับยุทธศาสตร์การค้าได้เร็วกว่าคนอื่นเชื่อว่าเราก็จะสามารถยืนหยัดและก้าวหน้าต่อไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี