ในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ อาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ได้เขียนเล่าไว้ว่า ....เรื่องของท่านพระอาจารย์มั่น เป็นเรื่องอัศจรรย์และพิสดารอยู่มากในพระปฏิบัติสมัยปัจจุบัน ทั้งภาคปฏิบัติและความรู้ที่ท่านแสดงออกแต่ละประโยค การสั่งสอนบางประโยคก็บอกตรง ๆ บางประโยคก็บอกเป็นอุบาย ไม่บอกตรง ทั้งสิ่งที่ควรและไม่ควร การทำนายทายทักทางจิตใจ นับแต่เรื่องขรัวตาที่ชายเขาถ้ำสาริกาเป็นต้นเหตุมาแล้ว ท่านระวังมากทั้งที่อยากเมตตาสงเคราะห์ บอกตามความคิดของผู้มาอบรมนั้น ๆ แสดงออกในทางผิดถูกต่าง ๆ อย่างบริสุทธิ์ใจในฐานะเป็นอาจารย์สอนคน แต่เวลาบอกไปตามตรงว่า ท่านผู้นั้นคิดอย่างนั้นผิด ท่านผู้นี้คิดอย่างนี้ถูกต้อง แทนที่จะได้รับประโยชน์ตามเจตนาอนุเคราะห์ แต่ผู้รับฟังกลับคิดไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นความเสียหายแก่ตนแทบทั้งนั้นไม่ค่อยมาสนใจตามเหตุผลและเจตนาสงเคราะห์เลย
บางรายพอเห็นคิดไม่ดีและเริ่มจะเป็นชนวนแห่งความเสียหาย ส่วนใหญ่ท่านก็ตักเตือนบ้างโดยอุบายไม่บอกตรง เกรงว่าผู้ถูกเตือนจะกลัวและอายหมู่เพื่อน เพียงเตือนให้รู้สึกตัวมิได้ระบุนาม แม้เช่นนั้นยังเกิดความรุ่มร้อนแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังไปต่อหน้าต่อตาท่านและหมู่คณะก็ยังมี
เรื่องทั้งนี้ จึงเท่ากับเตือนให้รู้เท่าทันถึงอุบายวิธีสั่งสอนไปในตัวทุกระยะที่เหตุการณ์เกี่ยวข้องบังคับอยู่ ต้องขออภัยหากเป็นความไม่สบายใจในบางตอนที่เขียนตามความจริงที่บันทึกและจดจำมาจากท่านเอง และจากครูอาจารย์ที่อยู่กับท่านมาเป็นคราว ๆ หลายท่านด้วยกัน จึงมีหลายเรื่องและหลายรสด้วยกัน
โดยมากสิ่งที่เป็นภัยต่อนักบวช นักปฏิบัติ และนักบวช นักปฏิบัติชอบคิดโดยไม่มีเจตนา แต่เป็นนิสัยที่ฝังประจำสันดานมาดั้งเดิม ก็คืออายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ของเพศที่เป็นวิสภาคกัน นั่นแลคือกัณฑ์เทศน์กัณฑ์เอกที่ท่านจำต้องเทศน์และเตือนทั้งทางตรงทางอ้อมอยู่เสมอ มิได้รามือพอให้สบายใจได้บ้าง
การนึกคิดอย่างอื่น ๆ ก็มี แต่ถ้าไม่สำคัญนักท่านก็ทำเป็นไม่สนใจ ที่สำคัญอย่างยิ่งก็เวลาประชุมฟังธรรม ซึ่งท่านต้องการความสงบทั้งทางกายและทางใจ ไม่ต้องการอะไรมารบกวนทั้งผู้ฟังและผู้ให้โอวาท จุดประสงค์ก็เพื่อได้รับประโยชน์จากการฟังจริง ๆ ใครเกิดไปคะนองคิดเรื่องแสลงเพศแสลงธรรมขึ้นมาในขณะนั้น ฟ้ามักจะผ่าเปรี้ยง ๆ ลงในท่ามกลางความคิดที่กำลังคิดเพลินและท่ามกลางที่ประชุม ทำเอาผู้กำลังกล้าหาญคิดแบบไม่รู้จักตายตัวสั่นแทบสลบไปในขณะนั้น ทั้งที่ไม่ได้ระบุตัวบุคคล แต่ระบุเรื่องที่คิด ซึ่งเป็นเรื่องกระตุกใจของผู้กำลังคิดเรื่องนั้นอย่างสำคัญ แม้ผู้อื่นในที่ประชุมก็พลอยตกใจ และบางรายตัวสั่นไปด้วยเผื่อคิดเช่นนั้นขึ้นมาบ้างขณะเผลอ
ถ้าถูกฟ้าผ่าอยู่เรื่อย ๆ ขณะฟังเทศน์ ปรากฏว่าจิตใจผู้ฟังหมอบและมีสติระวังตัวอย่างเข้มงวดกวดขัน บางรายจิตรวมสงบลงอย่างเต็มที่ก็มีในขณะนั้น ผู้ไม่รวมในขนาดนั้นก็อยู่ในเกณฑ์สงบและระวังตัว เพราะกลัวฟ้าจะลงเปรี้ยง หรือเหยี่ยวจะลงโฉบเอาศีรษะขณะใดก็ไม่รู้ ถ้าเผลอคิดไม่เข้าเรื่องในขณะนั้น
ฉะนั้น ผู้ที่อยู่กับท่านจึงมีหลักใจเป็นที่มั่นคงไปโดยลำดับ อยู่กับท่านไปนานเท่าไรก็ยิ่งทำให้นิสัยทั้งภายในภายนอกกลมกลืนกับนิสัยท่านไปไม่มีสิ้นสุด ผู้ใดอดทนอยู่กับท่านได้นาน ๆ ด้วยความใฝ่ใจ ยอมเป็นผ้าขี้ริ้วให้ท่านดุด่าสั่งสอน คอยยึดเอาเหตุเอาผลจากอุบายต่าง ๆ ที่ท่านแสดงในเวลาปกติหรือเวลาแสดงธรรม ไม่ลดละความสังเกต และพยายามปฏิบัติตนให้เป็นไปตามท่านทุกวันเวลา นิสัยความใคร่ธรรมและหนักแน่นในข้อปฏิบัติทุกด้านนี่แล จะทำให้เป็นผู้มั่นคงทางภายในขึ้นวันละเล็กละน้อย จนสามารถทรงตัวได้
ที่ไม่ค่อยได้หลักเกณฑ์จากการอยู่กับท่าน โดยมากมักจะเพ่งเล็งภายนอกยิ่งกว่าภายใน เช่น กลัวท่านดุด่าบ้าง เวลาคิดไปต่าง ๆ ตามเรื่องความโง่ของตน พอถูกท่านว่าให้บ้าง เลยกลัว โดยมิได้คิดจะแก้ตัว สมกับไปศึกษาอบรมกับท่านเพื่อหาความดีใส่ตัว ไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย ไปอยู่กับท่านก็ไปแบบเรา อยู่แบบเรา ฟังแบบเรา คิดไปร้อยแปดแบบเรา ที่เป็นทางดั้งเดิม อะไร ๆ ก็เป็นแบบเรา ซึ่งมีกิเลสหนาอยู่แล้ว ไม่มีแบบท่านเข้ามาแทรกบ้างเลย เวลาจากท่านไปก็จำต้องไปแบบเรา ที่เคยเป็นมาอย่างไร ก็เป็นไปอย่างนั้น ชื่อว่าความดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงพอให้เป็นที่น่าชมเชย แต่ความชั่วที่ทับถมจนมองไม่เห็นตัวนั้นยิ่งสั่งสมขึ้นทุกวันเวลา ไม่มีความเบื่อหน่ายอิ่มพอ ผลจึงเป็นคนอาภัพอยู่เสมอ ไม่มีสิ่งใดมาฉุดลากพอให้กลับฟื้นตัวได้บ้างเลย
ถ้าไปอยู่กับท่านแบบที่ว่านี้ จะอยู่นานเท่าไรก็ไม่ผิดอะไรกับทัพพีอยู่กับแกงที่มีรสอร่อย แต่ทัพพีจะไม่รู้เรื่องอะไรกับแกง นอกจากให้เขาจับโยนลงหม้อนั้นหม้อนี้ ไม่ได้หยุดหย่อนเท่านั้น กิเลสตัณหาเครื่องพอกพูนความชั่วไม่มีประมาณ จับเราโยนลงกองทุกข์หม้อนั้นหม้อนี้ก็ทำนองเดียวกัน
ผู้เขียนก็นับเข้าในจำนวนถูกจับโยนลงหม้อนั้นหม้อนี้ด้วย โดยไม่ต้องสงสัย เพราะชอบขยันหมั่นเพียร แต่สิ่งหนึ่งนั้นคอยกระซิบให้ขี้เกียจ ชอบไปแบบท่าน อยู่แบบท่าน ฟังแบบท่าน คิดแบบท่าน อย่างเป็นอรรถเป็นธรรม แต่สิ่งหนึ่งก็คอยกระซิบให้ไปแบบเรา อยู่แบบเรา ฟังแบบเรา คิดแบบเราอะไร ๆ ก็กระซิบให้เป็นแบบเราที่เคยเป็นมาดั้งเดิม และกระซิบไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น สุดท้ายก็เชื่อมันจนเคลิ้มหลับสนิทและยอมทำตามแบบดั้งเดิม เราจึงเป็นคนดั้งเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้นพอให้ตัวเองและผู้อื่นได้ชมเชยบ้าง คำว่า "ดั้งเดิม" จึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราและใคร ๆ จนมีรากฝังลึกอยู่ภายใน ยากที่จะถอดถอนออกได้ ถ้าไม่สังเกตสอดรู้ความเป็นมาและเป็นไปของตนอย่างเอาใจใส่จริง ๆ
.......................................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ ๑ โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ต่อจากตอน "พระเณรไม่เชื่อคำเตือนจนเกือบเกิดอันตราย" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-04.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี