คืนหนึ่งมีพวกชาวเขาพูดกันว่า ตุ๊เจ้าหลวง (พระอาจารย์ใหญ่) ที่มาพักอยู่กับพวกเรา ท่านจะมีคาถากันผีขับไล่ผีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ พรุ่งนี้พวกเราลองพากันออกไปขอท่านดู ท่านจะพอมีให้พวกเราบ้างไหม?
พอตื่นเช้ามา ท่านอาจารย์มั่นก็รีบบอกกับพระทันทีว่า คืนนี้นั่งภาวนาอยู่ได้ยินพวกชาวเขาในหมู่บ้านนี้พูดกันว่า พวกพระเราจะมีคาถากันผีไล่ผีบ้างไหม เขาจะมาขอคาถานั้นกับพวกเรา ถ้าเขามาขอคาถาดังที่ว่านั้น ให้เอาคาถา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้เขาไปภาวนา คาถานี้กันผีดีนัก ผีในโลกนี้กลัวแต่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เท่านั้น ไม่มีผีตัวใดจะกล้าต่อสู้กับธรรมเหล่านี้ได้
พอตอนเช้าพวกชาวเขาพากันมาจริง ๆ ดังที่ท่านบอกไว้ และพร้อมกันมาขอคาถากันผีไล่ผีกับท่านจริงๆ ท่านก็บอกคาถา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้แก่เขาไป โดยบอกวิธีทำให้เขา คือนึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่งไว้ในใจ และบอกว่าผีกลัวนักหนา พอเขาได้พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปแล้ว ต่างก็เริ่มทำพิธีกันผีตามที่ท่านสั่ง โดยที่เขาไม่รู้ว่าท่านให้เขาภาวนา พอเขาพากันทำแบบที่ท่านสั่งสอน ใจเลยรวมสงบลงเป็นสมาธิในขณะนั้น
รุ่งเช้าเขาก็รีบออกมาหาท่านและเล่าอาการที่เป็นให้ท่านฟัง
ท่านบอกว่า นั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว ผีแถว ๆ นี้จะต้องกลัวและพากันวิ่งหนีหมด อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เพราะธรรมของพวกแกแก่กล้าแล้ว ต่อไปพวกแกไม่ต้องกลัวผีอีกแล้ว แม้พวกที่ภาวนากันผียังไม่เป็น ผีก็เริ่มกลัวอยู่แล้ว
จากนั้นท่านสอนให้เขาทำทุกวัน ตามปกติคนชาวเขาเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาดั้งเดิมจึงสั่งสอนง่ายอยู่บ้าง เขาพากันทำทุกวันอย่างเอาจริงเอาจัง ต่อมาไม่ช้าคนในบ้านนั้นบางคนภาวนาเป็นจริง ๆ จนจิตเกิดความสว่างไสวสามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้ ตลอดจิตพระที่อยู่ในวัด เช่นเดียวกับคนบ้านเสือเย็นที่กล่าวผ่านมาแล้ว
เวลาเขาออกมาวัดมาเล่าเรื่องภาวนาให้พระอาจารย์ฟัง และเรื่องที่จิตสามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างน่าจับใจนั้น พระในวัดเกิดความอัศจรรย์และกลัวเขาจะรู้เห็นจิตของตัวที่คิดไปต่าง ๆ พระบางองค์ที่มีนิสัยขี้ขลาดแต่อยากรู้เรื่องต่าง ๆ อดทนไม่ได้ก็ถามเขา เขาก็เล่าให้ฟังตามเป็นจริง ยังทนต่อความอยากถามไม่ได้อีก พยายามแคะไค้ไล่เบี้ยสอบถามเขาเข้ามาหาเรื่องของตัวโดยจะขาดทุนก็ไม่ยอมรู้สึกตัว ราวกับใจมีฝาปิดไว้ร้อยชั้นอย่างมิดชิด ไม่มีอะไรจะสามารถเอื้อมเข้าไปสัมผัสแตะต้องได้
พอถามเขา เขาก็บอกอย่างตรงไปตรงมาตามภาษาของคนป่าซึ่งไม่สนใจกับสังคมว่านิยมกันอย่างไร พระที่ฟังแล้วชอบใจว่า ถูกกับปมด้อยของตัว และกลัวในเวลาคิดปรุงไปต่าง ๆ ว่า เขาจะรู้ทำนองที่เขาเคยรู้แล้วนั้น
นอกจากเขาจะรู้สิ่งต่าง ๆ ดังที่ว่านั้น เขายังพูดกับท่านพระอาจารย์มั่นอย่างหน้าตาเฉยด้วยว่า
จิตตุ๊เจ้าหลวง เฮาก็ฮู้ก๊า (เรารู้ครับ) เพราะเฮาดูและฮู้จิตตุ๊เจ้าหลวงก่อนใคร ๆ
ท่านก็ถามบ้างว่า จิตเราเป็นอย่างไร กลัวผีไหม?
เขายิ้มแล้วก็ตอบท่านว่า จิตของตุ๊เจ้าหลวงหมดดวงสมมุติแล้ว เหลือแต่นิพพานในร่างมนุษย์อย่างเดียว และไม่กลัวอะไรเลย จิตตุ๊เจ้าวิเศษสุดแล้ว
เรื่องผีสางอะไรเขาเลยไม่กล่าวถึง แม้คนในบ้านนั้นก็หันมาเลื่อมใสศาสนาและท่านพระอาจารย์มั่นเสียหมด ไม่สนใจกับผีกับสางอะไรอีกต่อไป เพราะคนที่ภาวนาเก่งคนนั้นเป็นผู้ประกาศให้ชาวบ้านทราบเรื่องของศาสนา และเรื่องของท่านพระอาจารย์อยู่ทุกวัน
เวลาใส่บาตรเขาพร้อมกันมารวมใส่ในที่แห่งเดียว พอเสร็จจากการใส่บาตร เวลาจะอนุโมทนา ท่านพระอาจารย์บอกให้เขาพร้อมกันสาธุดัง ๆ เผื่อเทวดาจะได้อนุโมทนาด้วย เขาจะมีส่วนบุญกับพวกเราอีกส่วนหนึ่ง เขาเชื่อท่านพร้อมกันสาธุดัง ๆ ทุกวัน
ที่ท่านให้เขาสาธุดัง ๆ นี้ ทราบว่าเวลากลางคืนยามดึกสงัด มักมีเทวดามาเยี่ยมและฟังเทศน์ท่านเสมอ บางพวกก็บอกว่า ได้ยินเสียงสาธุดังไปถึงเขา เขาจึงทราบว่าพระคุณเจ้าพักอยู่ที่นี่ ถึงได้พากันมาเยี่ยม
ตามธรรมดาทุกครั้งที่พวกเทพมาเยี่ยม จะต้องมีหัวหน้านำมาเสมอ และพวกเทวดานั้น ๆ ก็มีภูมิที่อยู่ต่าง ๆ กัน บางพวกก็เป็นรุกขเทวดามาจากที่ใกล้บ้างไกลบ้าง บางพวกก็เป็นพวกเทวดาบนสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ดังที่แสดงไว้ในตำรา
ก่อนเวลาเขาจะมาในคืนใด คืนนั้นท่านต้องทราบล่วงหน้าไว้ก่อนเสมอ ว่าเขาจะมาประมาณตี ๒ หรือตี ๓ ท่านก็พักผ่อนเสียก่อน พอจวนถึงเวลาก็ลุกขึ้นเข้าที่คอยต้อนรับ ถ้าทราบว่าเขาจะมาราวเที่ยงคืนหรือตี ๑ ท่านก็เข้าที่คอยต้อนรับ
แต่การเข้าที่คอยนั้นมีสองประเภท คือภาวนาไปตามลำพังจนจิตลงสู่ความสงบแล้วพักอยู่หนึ่ง พอควรแก่กาลแล้วถอนขึ้นมาอยู่ระดับพอดีกับภูมิของแขกจะรับทราบกันได้หนึ่ง ถ้าแขกยังไม่มาก็ดี กำลังมาก็ดี หรือมารออยู่ก่อนแล้วก็ดี ย่อมรับทราบกันได้กับจิตที่อยู่ในระดับนี้ มีอะไรก็สนทนากันไปจนกว่าจะยุติลงด้วยเหตุการณ์อันควร ถ้าจิตลงไปอยู่ในสมาธิเสียจริง ๆ ภูมิของแขกที่มาเยี่ยมก็เข้าไม่ถึง ถ้าถอนออกมาเป็นจิตธรรมดาเสีย หากจิตไม่มีความชำนาญในทางนี้จริง ๆ ก็ไม่อาจรับทราบกันได้ทุกระยะกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง แม้ทราบได้ก็ไม่ถนัดเหมือนจิตที่อยู่ในขั้นเตรียมรับ ฉะนั้น จิตที่อยู่ภูมิอุปจาระ คืออยู่ที่ปากประตู จึงเป็นภูมิที่เหมาะกับเหตุการณ์แทบทุกกรณี
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเชี่ยวชาญในทางนี้มานาน เริ่มแต่สมัยท่านพักอยู่ถ้ำสาริกา นครนายกเป็นต้นมา ซึ่งระยะนั้นทราบว่าท่านได้ ๒๒ พรรษา จากนั้นมาจนถึงวันท่านมรณภาพพรรษาก็ร่วม ๖๐ แล้ว ท่านจึงมีความชำนิชำนาญในทางนี้มาก
โลกมนุษย์เราต่างก็มีใจเป็นของคู่ควรกับสิ่งเหล่านี้ เช่นเดียวกับท่านที่สามารถปฏิบัติจนรู้เห็นได้ แต่ยังไม่ค่อยมีผู้สามารถปฏิบัติจนรู้เห็นได้อย่างท่าน พอเป็นพยานแก่ตัวเอง แม้ไม่มากเหมือนท่านที่เชี่ยวชาญ นอกจากไม่เห็นแล้ว ยังอาจเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในโลกสมมุติอีกด้วย จึงเป็นเรื่องลำบากที่จิตไม่มีระดับความพอดีเป็นธรรมเครื่องอยู่ ถ้าจิตมีความสามารถด้วยการปฏิบัติตนตามหลักธรรม ซึ่งเป็นหลักรับรองความรู้จริงเห็นจริงเท่าที่ควรแล้ว สิ่งที่ได้รู้ด้วยใจอย่างประจักษ์แล้ว แม้คำคัดค้านทั้งแผ่นดินว่าไม่จริงมาลบล้าง ก็เป็นคำคัดค้านที่เป็นโมฆะโดยประการทั้งปวง สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือความจริงของผู้รู้จริงเห็นจริงนั่นแล ไม่มีสิ่งใดจะสามารถมาลบล้างได้ เพราะความจริงย่อมไม่ขึ้นอยู่กับคำเสกสรรและติชมใด ๆ นอกจากเป็นสิ่งที่จริงอยู่อย่างตายตัวตามหลักธรรมชาติเท่านั้น
ตามป่าตามเขาของอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่าท่านพระอาจารย์มั่นได้ท่องเที่ยวซอกแซกทุกซอกทุกมุมกว่าจังหวัดอื่น ๆ เพราะท่านอยู่ที่จังหวัดนั้นมาหลายปี และนานกว่าที่อื่น ๆ การบำเพ็ญธรรมก็สะดวก ความรู้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็มีมากกว่าที่อื่น ๆ
ท่านว่าท่านอยู่ที่เชียงใหม่นานเพราะเหตุหลายประการ คือ สถานที่บำเพ็ญเหมาะสมมากหนึ่ง ชาวป่าผู้มีภูมิจิตที่น่าสงสารควรอนุเคราะห์มีอยู่มาก ความผิดปกติของคนในเขาที่มีจำนวนน้อย ซึ่งควรได้รับการอบรมส่งเสริมเพื่อความมั่นคงต่อไป ดีกว่าจะปล่อยทิ้งไว้อันอาจมีการเสื่อมถอยลงได้หนึ่ง และเพื่อสงเคราะห์พวกเทวดาทั้งหลายหนึ่ง
.......................................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ ๑ โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี "ชาวเขามาขอคาถากันผีไล่ผี" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-06.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี