“แม่วัยรุ่น” หรือการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทย ถึงขั้นที่เคยถูกจัดอันดับว่าประเทศไทยมีระดับความรุนแรงของปัญหานี้หนักที่สุดในทวีปเอเชีย กระทั่งต้องมีกฎหมายออกมาเป็นการเฉพาะเพื่อแก้ปัญหา คือ พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 เพื่อบูรณาการกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้สามารถทำงานประสานกันได้อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำอย่างในอดีต
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พาคณะสื่อมวลชนไปร่วมสังเกตการณ์การประชุมร่วมของภาคส่วนต่างๆ ในกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.)ว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส) ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในพื้นที่ กล่าวคือ จำนวนแม่วัยรุ่นไม่มากอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับบางจังหวัดในพื้นที่อื่นๆ แต่ก็ไม่ละเลยที่จะเข้าไปดูแล
ยะห์ยา บานีอัลมาฮ์มูดี ผู้แทนสำนักงานสาธารณสุขอ.รามัน จ.ยะลา เล่าว่า อ.รามัน มีประชากรประมาณ8 หมื่นคน ความท้าทายอยู่ตรงที่ในเมื่อจำนวนแม่วัยรุ่นมีน้อยจนมองแล้วไม่น่าเป็นปัญหา คือทั้งอำเภอพบแม่วัยรุ่นเพียง 3 รายเท่านั้น จึงไม่ง่ายที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระของพื้นที่ในการขับเคลื่อน โดยเลือก ต.โกตาบารู เป็นพื้นที่นำร่อง โกตาบารูเป็น 1 ใน 16 ตำบลของ อ.รามัน มีประชากรประมาณ 4,800 คน ในจำนวนนี้เป็นวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี 352 คน ส่วนประชากรวัยเด็กอายุ 6-14 ปี นั้นอยู่ที่ประมาณ 800 คน
หลังได้พื้นที่นำร่อง เรื่องต่อไปที่ดำเนินการคือการวิเคราะห์หาสิ่งที่ยังขาด เช่น กรณีของ ต.โกตาบารู ยังขาดการจัดการฐานข้อมูล โดยมีเพียงฐานข้อมูลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เท่านั้น ยังไม่มีฐานข้อมูลอื่นๆ อาทิ กลุ่มเสี่ยง การศึกษา รวมถึงการเฝ้าระวังพื้นที่สาธารณะ เพราะไม่ได้มีแต่เฉพาะเด็กและเยาวชนในพื้นที่เท่านั้น ยังมีเด็กและเยาวชนจากพื้นที่ข้างเคียงเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะใน ต.โกตาบารู ด้วย
ยะห์ยา กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือต้องให้ครอบครัวหรือพ่อแม่ผู้ปกครองรับรู้ด้วยว่าบุตรหลานไปทำอะไรอยู่ที่ไหน เช่น เมื่อถามว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์
บุตรหลานหายไปไหนบางทีผู้ปกครองก็ไม่รู้ ต้องทำให้เกิดการใส่ใจจากในบ้านก่อน ส่วนโรงเรียนนั้นมีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมคือจะทำงานร่วมกับชุมชนอย่างไร นอกจากนี้ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ยังได้รับมอบหมายให้เฝ้าระวังพื้นที่สาธารณะที่สุ่มเสี่ยงต่อพฤติกรรมอันนำไปสู่การเกิดแม่วัยรุ่น นอกเหนือจากภารกิจเดิมคือการเฝ้าระวังเรื่องยาเสพติด เป็นต้น
ขณะที่ ทพญ.โนรีด้า แวยูโซ้ะ ผู้แทนโรงพยาบาลบาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เล่าว่า จุดเริ่มต้นมาจากนายอำเภอบาเจาะ ตั้งคำถามว่าจะแก้ปัญหาเด็กเกิดมาแล้วพิการตั้งแต่กำเนิดได้อย่างไร จึงเปิดช่องให้ฝ่ายสาธารณสุขบรรจุปัญหาแม่วัยรุ่นเข้าไปเป็นวาระของพื้นที่ด้วย ซึ่งนายอำเภอก็เข้าใจและให้การสนับสนุน โดยดำเนินการภายใต้หลักคิด “สร้างผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษ-สร้างผู้หญิงเป็นหญิงแกร่ง” มีการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นำศาสนาและฝ่ายสาธารณสุข
กล่าวคือ เมื่อผู้นำศาสนาอิสลาม (อิหม่าม) จะจัดพิธีแต่งงานให้คู่สมรสที่เป็นวัยรุ่น จะแจ้งมายังฝ่ายสาธารณสุขให้เข้าไปให้ความรู้ เช่น การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก อาทิ การส่งเสริมธาตุเหล็กในหญิงวัยเจริญพันธุ์ การดูแลสุขภาพช่องปากของเด็ก ทักษะการพูดคุยกับลูกที่เป็นวัยรุ่นอันเป็นการต่อยอดมาจากกิจกรรม “โรงเรียนพ่อแม่” ที่ให้ความรู้กันอยู่แล้วในโรงพยาบาล ควบคู่กับที่ผู้นำศาสนาจะให้ความรู้เรื่องการวางตัวในครอบครัวตามหลักศาสนา
ด้าน อุษา เบญจลักษณ์ ผู้แทนสำนักงานสาธารณสุขอ.เมือง จ.ปัตตานี กล่าวว่า ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ปัตตานี เลือกต.รูสะมีแล ที่มีประชากรราว 1.6 หมื่นคน เป็นพื้นที่นำร่องในการขับเคลื่อนประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เนื่องด้วยเป็นเขตที่มีสถาบันการศึกษาหลายแห่งและหลายระดับตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัยอีกทั้งมีหอพักจำนวนมากและยังมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหลายแห่ง
ในการประชุมติดตามสถานการณ์ของกลไก พชอ. หากไม่เป็นนายอำเภอมาเป็นประธานเองก็จะมอบหมายให้ปลัดอาวุโสมาทำหน้าที่แทน เชื่อมการทำงานระหว่างอำเภอกับตำบล แจ้งข้อมูลให้ชุมชนรับทราบอย่างสม่ำเสมอ เพราะชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา “ภาครัฐมาแล้วก็มีเปลี่ยนไป แต่หากชุมชนเข้มแข็งทุกปัญหาย่อมแก้ได้เสมอ” และเช่นเดียวกับที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส คือการเน้นบทบาทผู้นำศาสนาในการให้ความรู้เกี่ยวกับการมีครอบครัว โดยเฉพาะบทบาทของผู้ชายว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้
อนึ่ง ข้อมูลของ สำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) พบว่า ในปี 2562 ในพื้นที่มีแม่วัยรุ่นเกือบ 20 คนมาเรียน กศน. ดังนั้นเมื่อมีการปฐมนิเทศ กศน. จะประสานกับฝ่ายสาธารณสุขส่งวิทยากรไปให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ การวางแผนครอบครัว รวมถึงให้คำปรึกษากับผู้เรียน เป็นการทำงานเชิงรุกโดยไม่ต้องรอให้ผู้ที่มีปัญหาเดินทางไป รพ.สต.
มุมมองจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก เริ่มจาก ชาติวุฒิ วังวลผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า สสส. ทำงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มาตั้งแต่ปี2548 โดยทำร่วมกับจังหวัดนำร่อง19+1 แห่ง ซึ่งแต่ละจังหวัดก็มีลักษณะเฉพาะตัว จึงเป็นความท้าทายในการพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เช่นกรุงเทพฯ ที่สำนักงานเขตมีบทบาทมาก หรือจ.ประจวบคีรีขันธ์ที่เป็นบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งระดับจังหวัดลงไปถึงตำบล เป็นต้น
นพ.พีระยุทธ สานุกูล ผู้อำยวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กล่าวว่า แม่วัยรุ่นหรือครอบครัววัยรุ่นมีสิทธิต่างๆ ตามกฎหมาย ตั้งแต่สิทธิการได้เรียนในโรงเรียนเดิม การคุมกำเนิด การยุติการตั้งครรภ์ เงินอุดหนุนบุตร ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงยังมีไม่น้อยที่เข้าไม่ถึงสิทธิเหล่านี้ ขณะเดียวกัน ในการใช้กลไก พชอ. ขับเคลื่อน ก็ต้องคิดต่อไปว่า พชอ. ต้องได้รับการส่งเสริมศักยภาพมากเพียงใด รวมถึงยังมีความท้าทายในประเด็นศาสนาในบางพื้นที่ เช่น การเข้าไม่ถึงบริการคุมกำเนิด หรือการเป็นแฟนกันจำเป็นต้องแต่งงานกันทันทีหรือไม่
อีกด้านหนึ่ง ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองประธานคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาอิสระด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ย้ำว่า “ไม่ควรเห็นแก่ชื่อเสียงของโรงเรียนจนผลักไสไล่ส่งวัยรุ่นตั้งครรภ์ออกจากระบบการศึกษา” เพราะตัดโอกาสการพัฒนาทั้งแม่และลูก ซึ่งผลการศึกษาก็ชี้ว่าแม่ที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มจะดูแลลูกได้อย่างมีคุณภาพมากกว่าแม่ที่มีการศึกษาน้อย และการเรียน กศน. ความรู้ก็ไม่เท่าการเรียนในระบบ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี