สองสัปดาห์ที่แล้ว ได้กล่าวถึงเฉพาะ “ตู่เล็ก” และ “ตู่ใหญ่” โดยชี้ให้เห็นว่า “ตู่เล็ก” ก็หลงทางเองอยู่ และกำลังชวนผู้คนหลงทาง ระดมคนหนุ่มสาวออกมาไล่ “ตู่ใหญ่”
ส่วน “ตู่ใหญ่” เองก็หลงทาง ยึดอำนาจบริหาร (Executive Power) อันเป็นอำนาจหลักอำนาจหนึ่งในสามอำนาจของระบอบประชาธิปไตย ด้วยวิธีรัฐประหารบ้าง
ด้วยวิธีเขียนรัฐธรรมนูญให้อยู่ในอำนาจต่อไปได้นานๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้บ้านเมืองมีรัฐบาลที่ดี มีเสถียรภาพ มีธรรมาภิบาลได้ จึงยังต้องนำรัฐบาลที่ใช้ระบบแบ่งเค้กกระทรวงใครกระทรวงมัน และยังเป็นรัฐบาลที่ต้องหลับตาปริบๆ ดูพรรคและบุคคลผู้ค้ำบัลลังก์ ต่างฝ่ายต่างหาประโยชน์ ด้วยธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนัน สถานบันเทิง การเรียกร้องเงินทอนก้อนโตๆ ในการจัดซื้อ จัดจ้าง หรือการออกใบอนุญาต ซึ่ง “ตู่ใหญ่” เอง ก็ยังแก้ไขไม่ได้
คิดๆ แล้วก็น่าเห็นใจ ตู่ ทั้งหลายในประเทศไทยมาก เพราะ มีปัญหาอีกมากมายที่เรียงลำดับเข้ามาโจมตีตู่
ทั้งหลายในประเทศนี้
คำว่า ตู่ เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสก็คือ Tu
แปลว่า เธอ เอ็ง มึง แก หรืออะไรก็ได้ที่เป็นบุรุษที่สอง เอาไว้เรียกคนใกล้ชิดชอบพอกัน
และคนไทยเองเราก็ชอบพอ รักใคร่ กู มึง เอ็ง ข้า กันอยู่มิใช่หรือ
จึงสมมุติว่าทุกคนเป็น ตู่ (Tu) กันทั้งนั้นจะดีไหม หรือเรียกว่า “ตู่ทุกคน”
________________________________
และภยันตรายแก่ “ตู่ทุกคน” ในประเทศนี้ ก็มิได้มีแค่ “ตู่เล็ก” ผู้กำลังหาทางโค่น “ตู่ใหญ่” อยู่ทุกวิถีทาง
โดยไม่มีเป้าหมายอันเป็นอนาคตที่ชัดเจน ให้“ตู่ทุกคน” ยอมรับได้
และก็มิได้มีแค่ “ตู่ใหญ่” ซึ่งกำลังทำงานหลังขดหลังแข็งให้บ้านเมืองก้าวหน้า ปราศจากคอร์รัปชั่น ทุจริต คดโกง อบายมุข มีคุณธรรม จริยธรรม แต่ก็ยังไม่สำเร็จเช่นกัน
________________________________
ภยันตรายเหล่านี้ หากเรียงตามลำดับความรีบด่วนที่จะต้องแก้ไข ก็น่าจะได้แก่
1.ภยันตรายจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งกำลังระบาดหนัก เพราะ “ตู่ทุกคน” การ์ดตก โดยเฉพาะตัวใหญ่ๆ ภาครัฐ
2.ภยันตรายต่อมาก็คือ ส่วนใหญ่ของ “ตู่ทุกคน” กำลังจะไม่มีกิน เพราะประเทศนี้มีคนรวยเพียงไม่กี่คน ไม่กี่ตระกูล รวมแล้วไม่เกิน 5%
รองลงมาก็เป็นพวกตู่ระดับกลาง พอมีเงินออมบ้าง, มีบำนาญบ้าง, พอมีรายได้เสริมจาก Passive Income บ้าง ซึ่งรวมแล้วก็ไม่เกิน 15% ของประชากร
ส่วนอีก 80% ต้องหาเช้ากินค่ำ หาเดือนกินเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลัง
เจ็ดปีที่แล้ว ความแตกต่างระหว่างคนมีเงินกับคนไม่มีเงิน ยังน้อยกว่าปัจจุบัน (ตามอันดับที่องค์การระหว่างประเทศจัดให้)
แล้วเราจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนานเท่าที่การระบาดของโควิดยังอยู่
และก็ยังไม่เห็นมีใครแก้ปัญหานี้ให้ดีขึ้น ได้สักที
________________________________
3.ภยันตรายที่สาม ที่ไม่เร่งด่วนเหมือนสองอันดับแรกต้องใช้เวลาในการแก้ไข ก็ได้แก่ การแก้ปัญหาการเมืองน้ำเน่า ปัญหาที่ว่าการเมืองคือธุรกิจที่จะต้องหาเงินสร้างมุ้ง หาเงินซื้อเสียง ต้องหาเงินโดยธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมหาเงินจากการคอร์รัปชั่นงานจัดซื้อจัดสร้างหรือคำอนุมัติต่างๆ ก็เป็นอย่างนี้มา 89 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เขียนรัฐธรรมนูญมา 20 ฉบับ ก็ยังเป็นโครงสร้างแบบเดิมอยู่ ที่ส่งเสริมแถมบังคับให้นักการเมืองต้องทำเช่นนี้กันทุกพรรค และต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ได้เข้าไปใช้อำนาจบริหาร (เป็นรัฐบาลเสียเอง ทั้งๆ ที่ตนก็เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติอยู่แล้ว)
สหรัฐอเมริกาก็มีประชาธิปไตยแบบของเขา มี electoral vote กับ popular vote ฝรั่งเศส รัสเซีย เขาก็มีแบบของเขา มีประมุขของรัฐคนหนึ่ง นายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง จีน เวียดนาม เขมร เขาก็มีแบบของเขา ที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมของเขา เขาจึงได้มีรัฐบาลที่ดีมีเสถียรภาพในประเทศก้าวหน้าไปไกลลิบในระยะเวลาอันสั้น
แล้ว “ตู่ทุกคน” ในประเทศนี้ จะไม่ช่วยกันคิดหาประชาธิปไตยแบบไทยกันบ้างเชียวหรือ
ความจริง นักเขียนรัฐธรรมนูญคนเก่ง เขาก็เขียนเปิดทาง “ตู่ใหญ่” อยู่ในอำนาจได้ตั้งสองสมัย หรือแปดปี
แต่โค้ชของ “ตู่ใหญ่” ก็ยังไม่กล้าพอที่จะใช้ “กลไก” ในรัฐธรรมนูญมาทำให้ “ตู่ใหญ่” อยู่ในอำนาจต่อไปได้ครบแปดปี โดยไม่ต้องไปพึ่งระบบการเมืองน้ำเน่า ระบบกางมุ้งระบบแบ่งเค้ก ระบบที่ต้องมีการหาเงินหาทองมาเลี้ยงลูกพรรค หรือเลี้ยงพรรคที่สนับสนุนรัฐบาล
แล้วท่านข้าราชการที่ถูกส่งไปประจำการในต่างประเทศ ไม่มีรายงานการเมืองมายังกระทรวงของท่านบ้างหรือ ว่าจะมีระบอบประชาธิปไตยของใครดีๆ ที่เราควรเอามาใช้ หรือเอามาดัดแปลงให้เหมาะสมกับประเทศเราบ้าง”
________________________________
4.ส่วนภยันตรายแบบที่ 4 นับเป็นภัยเงียบที่กำลังโจมตีเราอยู่อย่างเงียบเชียบ แต่กว่าจะรู้ก็คงกลับตัวไม่ทัน หรือว่าสายไปเสียแล้ว “ตู่ทุกคน” เอ๋ย
บทความของวันนี้ จึงมีชื่อเรื่องว่า ภยันตรายของ “ตู่ทุกคน” หรือนัยหนึ่ง “ภัยเงียบที่กำลังรุกคนไทย” อยู่
ส่วนภัยเร่งด่วนเฉพาะหน้า ที่ต้องแก้ปัญหาการระบาดของโควิด หรือแก้ปัญหาคนส่วนใหญ่ในประเทศ กำลังจะไม่มีกิน ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ผู้ใช้อำนาจบริหารและผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย เป็นผู้รีบทำรีบแก้ไขกันต่อไป
________________________________
สองสามวันก่อนโทรไปเยี่ยมกำนันแถวลำพูน ซึ่งคุ้นเคยกันอยู่ ถามข่าวคราวทุกข์สุขของท่านกำนัน ว่าสบายดีหรือ ปีนี้ลำไยออกมากไหม และกิจการรับซื้อลำไยมาอบแห้งส่งไปขายต่างประเทศของท่านกำนัน ยังดีอยู่หรือ
เสียงท่านกำนันตอบมาอย่างแห้งเหี่ยว ว่าปีนี้ฝนทางเหนือก็แล้ง ต้องหาน้ำมาเลี้ยงต้นลำไย แถมกิจการรับซื้อลำไยมาอบแห้งส่งนอก ก็ต้องเลิกไปแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้คนต่างประเทศเขามาผูกขาดลำไยตามสวนไปหมดแล้ว และก็เอามาอบแห้งเอง ส่งไปขายเอง
ทำเอา SME ของไทยก็ต้องเลิกกิจการไป
ก็เหมือนกับสวนทุเรียนแถวระยอง จันทบุรี ตราด นี่แหละ อยู่ในสภาพเดียวกัน เพราะมี ล้ง จากต่างประเทศมาเป็นผู้จัดการหมด “ตู่ทุกคน” เป็นเพียงกสิกร ผู้ปลูกผู้รดน้ำ ผู้ดูแลสวน
เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ทำอะไรกันอยู่ กระทรวงเกษตรฯและกรมส่งเสริมสหกรณ์ทำอะไรกันอยู่ ทำไมปล่อยให้กิจการต่างๆ ถูกต่างชาติยึดไปทำหมด
เรากำลังถูกกลืนเศรษฐกิจใช่หรือไม่
เป็นภัยเงียบที่กำลังคุกคามรัฐบาลสารขัณฑ์อยู่ ใช่หรือไม่
เรากำลังอยู่ในยุคการล่าอาณานิคมแบบใหม่ ใช่หรือไม่
มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ที่คลั่งอยู่กับประชาธิปไตยท่านใดคิดอ่านแก้ไขบ้างไหม
เป็นภัยเงียบ ที่ตู่ทุกคน จะต้องเอาใจใส่และเตรียมป้องกันระยะยาว
นะตู่นะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี