1 มิ.ย. 2564 เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ จัดเวทีเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ "ทำไมแรงงานข้ามชาติติดโควิดเยอะ???" เมื่อค่ำวันที่ 31 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา โดย นายอดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอก 3 จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคและศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ พบข้ามชาติกว่า 1.5 หมื่นรายที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งตนรู้สึกเป็นกังวล โดยเฉพาะการระบาดที่พบว่าในระลอกนี้ มีการกระจายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งในพื้นที่เหล่านี้มีจำนวนแรงงานข้ามชาติอยู่เกือบครึ่งของจำนวนแรงงานข้ามชาติทั้งหมดในประเทศ หรือประมาณ 1.1 ล้านคน
“ปัญหาแรงงานข้ามชาติสะสมมาตั้งแต่การแพร่ระบาดในระลอกแรก ที่มีการปิดสถานประกอบการ และเกิดปัญหาของข้อกฎหมายเพราะเมื่อเปลี่ยนนายจ้าง ลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติจะต้องหานายจ้างใหม่ใน 30 วัน แต่ในความเป็นจริงแทบทำไม่ได้เลย เพราะสถานประกอบการปิดหมด ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทำให้มีแรงงานหลุดออกจากระบบ ดังนั้นอาจพูดได้ว่านโยบายของรัฐ ทำให้มีแรงงานผิดกฎหมายมากขึ้นไป แม้ว่าต่อมามีความพยายามแก้ไข โดยการขยายระยะเวลาแต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง” นายอดิศร กล่าว
นายอดิศร กล่าวต่อไปว่าว่า หลังจากการระบาดระลอกแรกเริ่มมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น จึงมีการเสนอให้ทยอยนำเข้าแรงงานเป็นระบบ มีการตรวจคัดกรอง มีเรื่องการกักตัว แต่จนถึงขณะนี้ไปปีกว่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากนั้นเมื่อมีการระบาดระลอก 2 ที่ จ.สมุทรสาคร ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า การระบาดในระลอกดังกล่าวมาจากไหนกันแน่ แต่เป็นข้อสังเกตุของกระทรวงสาธารณสุขว่ามาจากแรงงานข้ามชาติ
อย่างไรก็ตาม ตนมีคำถามว่า แรงงานเหล่านี้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขหรือไม่ เพราะมีแรงงานข้ามชาติที่อาจจะไม่มีหลักประกันทางสุขภาพอะไรเลย ทั้งประกันสังคม และประกันสุขภาพ ประมาณร้อยละ 34 ของแรงงานทั้งหมด ส่วนในระลอก 3 นั้นปัจจุบันคาดว่ามีแรงานข้ามชาติที่หลุดจากระบบเกือบ 1 ล้านคน จากทั้งหมด 2 ล้านคน ดังนั้นหากรัฐบาลยังไม่สามารถดึงเข้าสู่ระบบได้ แรงงานยังกลัวว่าจะถูกจับ หลบหนีไปเรื่อยๆ อาจทำให้ตัวเลขแรงงานติดเชื้อในระลอกนี้อาจจะมากกว่าระลอก 2 เป็นเท่าตัว
นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าแรงงานข้ามชาติที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง รวมถึงแรงงานข้ามชาติที่อยุ่ในพื้นที่ที่มีการระบาดสูงในระลอกที่ 3 ยังประสบปัญหาหลักพื้นฐานที่เรียกว่าปัญหา 4 อ. นั่นคือ 1.ไม่มีอาหารเพียงพอในช่วงกักตัว 2.ไม่มีที่พักอาศัยเนื่องจากขาดรายได้ หรือบางแห่งให้แรงงานข้ามชาติออกจากหอพัก 3.ไม่มีอาชีพหรืองานที่จะพอทำให้เกิดรายได้ช่วงกักตัวหรือรักษาตัวเนื่องจากแรงงานส่วนหนึ่งเป็นแรงงานรายได้ หรือไม่มีความมั่นคงในการจ้างงานระหว่างและหลังการรักษาตัวแล้ว
และ 4.ไม่ได้รับการรักษา เมื่อมีอาการป่วย อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลการสื่อสารซึ่งแรงงานข้ามชาติยังไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเข้าใจง่ายรวมถึงมีช่องทางในการสื่อสารปัญหาและความต้องการของตนเอง ปัญหาเรื่องการถูกตีตราว่าเป็นสาเหตุของการระบาดที่พบมากขึ้นในช่วงหลัง การเข้าไม่ถึงการตรวจคัดกรองโรค การส่งต่อดูแล รักษาเมื่อติดเชื้อโควิด-19 และประเด็นสุดท้ายคือความรู้สึกไม่ปลอดภัยเนื่องจากปัญหาในเรื่องเอกสารและมาตรการการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะส่งผลให้แรงงานข้ามชาติไม่กล้าปรากฏตัว เคลื่อนย้ายไปหางานในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในการระบาดของโรคโควิดเพิ่มมากขึ้นด้วย
ด้าน น.ส.โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ซึ่งเกิดการระบาดระลอกแรก มีแรงงานข้ามชาติตัดสินใจกลับประเทศ บางส่วนอยู่ในไทยแต่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุ ลูกจ้างถูกนายจ้างเอาชื่อออกจากระบบ เลยกลายเป็นคนที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุไม่รู้ตัว ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะหมกมุ่นกับคำว่าผิดกฎหมาย ทั้งที่คนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในเมืองไทย คือ คนที่อยู่ในเมืองไทยอยู่แล้ว เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย แต่เอกสารหมดอายุ
ทั้งนี้ จากการสำรวจพื้นที่ จ.สมุทรสาคร พบแรงงานส่วนใหญ่ ทำงานตลาดกุ้ง และโรงงานอาหารทะเลแปรรูปที่มีความชื้นเย็น ห้องพักหนึ่งห้องเช่าอยู่กัน 2 ครอบครัว ในลักษณะผลัดกันนอน ทำงานกะเช้า กะกลางคืน ทำให้ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ มีความแออัด รวมถึงเรื่องสุขอนามัยบางอย่าง นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานเวลาเจ็บป่วย มักจะไม่กล้าบอกหัวหน้างานทำให้คนเจ็บป่วยไม่ได้รักษาอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่เห็นทิศทางหรือนโยบายที่แน่ชัดจากรัฐบาลว่าจะฉีดวัตคซีนให้กับแรงงานข้ามชาติด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานที่ติดเชื้อถูกทอดทิ้ง ทำให้แรงงานรู้สึกว่าถ้าตรวจแล้วติด เขาก็ไม่มีที่รักษา ซึ่งประเด็นนี้อยากให้เทียบกับคนต่างชาติ ชาติอื่น ที่รัฐรักษาฟรี แต่ในขณะที่แรงงานข้ามชาติยังถูกโรงพยาบาลมาเรียกเก็บเงินค่ารักษาอีกแม้รัฐบาลจะให้การรักษาฟรี แต่ยังมีความเข้าใจผิดของสถานพยาบาล เวลาป่วยจึงไม่กล้าบอกใคร อย่างไรก็ตามเห็นว่าการลุยตรวจเชื้อเชิงรุก เป็นสิ่งที่สมุทรสาครทำได้และประสบความสำเร็จในการคุมโรค ซึ่งตนอยากเห็นต่อไป
“ทราบว่าในแรงงานข้ามชาติบางส่วนยังมีความคิดเห็นที่ต่างกันว่าจะรับวัคซีนหรือไม่ บางคนอยาก บางคนไม่อยากและวันนี้ยังไม่เห็นชุดข้อมูลประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ในการฉีดวัคซีนในภาษาของแรงงานข้ามชาติแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีแรงงานบางส่วนมีความเชื่อเกี่ยวกับโควิด ที่ผิดๆ เช่น มีการแขวนหอม กระเทียม หรือทำพิธีทางไสยศาสตร์บางอย่างและเชื่อว่าจะทำให้ไม่ติดเชื้อ ดังนั้นต้องถามว่า อสม. ที่ดูแลแรงงานข้ามชาติมีเพียงพอหรือไม่ที่จะช่วยเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับแรงงาน” น.ส.โรยทราย กล่าว
น.ส.โรยทราย กล่าวต่อไปว่า กลไกแรงงานสัมพันธ์ เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพราะสามารถเปิดรับฟังปัญหาและความต้องหาของแรงงานได้ ดีว่ามอบหน้าที่ความรับผิดชอบไว้ที่ล่ามแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างแรงงานและนายจ้างได้ นอกจากนี้ที่ยังมีการดูแลเรื่องสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เช่น บ้านพักที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะก็เป็นสิ่งจำเป็น
พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้นายจ้าง ไปขึ้นทะเบียนขอรับวัคซีนให้กับลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติตามระบบประกันสังคมเพื่อให้เข้าถึงสิทธิในการรับวัคซีน อีกทั้งนายจ้างควรสะท้อนปัญหาที่เผชิญอยู่กับกระทรวงแรงงานให้รับทราบและขอให้ทางรัฐบาลดูแล เพราะถ้าไม่ดูแลแรงงานข้ามชาติ ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือนายจ้างเอง ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นมีท่าทีจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต่อการให้ความสำคัญในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติสักเท่าไหร่ เพราะนโยบายยังอยู่แค่ว่าจับกุมคนเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย
ขณะที่ น.ส.คอรีเยาะ มานุแช นายกสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ให้ความเห็นว่า การระบุว่าการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็สาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดโควิด-19 นั้นเป็นการสื่อสารอย่างคลาดเคลื่อน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคมในการมองแรงงานข้ามชาติว่าเป็นกลุ่มคนที่นำพาเชื้อโรคเข้ามา ซึ่งการเข้าเมืองผิด หรือ ถูกกฎหมาย ไม่ได้แปลว่านำพาโรคมา
ดังนั้นตนอยากให้โฟกัสในเรื่องการควบคุมโรค หรือมาตรการให้คนเข้าถึงการตรวจเชื้อมากกว่า เพราะในปัจจุบันมีคำสั่งของกระทรวงแรงงานที่เข้มงวดจับกุมแรงงานข้ามชาติลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งเหตุนี้อาจกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ไม่รู้ตัว เพราะเมื่อแรงงานรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าแสดงตัว ในการขอเข้าตรวจหาเชื้อเพราะกลัวถูกจับ ก็อาจจะทำให้การควบคุมโรคไม่สามารถเป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็นได้
“การสื่อสารของรัฐที่ผ่านมา จะบอกตัวเลขสถิติ เช่น คนไทยเป็นศูนย์แล้ว แต่แรงงานข้ามชาติยังติดอยู่ เป็นการสื่อสารที่พุ่งไปที่แรงงานข้ามชาติติดเชื้อ จริงๆ คนเหล่านี้อาจอยู่ในการควบคุมของ ตม. อยู่ในสถานที่กักตัว ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ตอกย้ำว่าแรงานข้ามชาติ กลายเป็นคนแพร่เชื้อในประเทศไทย นอกจากนี้อยากให้เข้าถึงกลไกเยียวยาของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้มีมากขึ้น และทางหน่วยงานต้องให้ความดูแล คุ้มครองโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ หรือ สถานะของบุคคล” น.ส.คอรีเยาะระบุ
ส่วน นายแจ็ค ล่ามชาวเมียนมา เล่าว่า ได้โทรประสานประสานสายด่วนตามหน่วยงานรัฐให้ไว้ให้มารับแรงงานข้ามชาติที่ป่วยโควิด แต่ถูกหน่วยงานทางสาธารณสุขปฏิเสธในการมารับตัว ขณะที่อีกปัญหาที่สำคัญ คือ เมียนมามี 135 ชาติพันธุ์ แต่รัฐบาลไม่เคยทำเอกสารในภาษาที่หลากหลายเพื่อให้แรงงานเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้การสื่อสารกับแรงงานโดยตรงเป็นไปด้วยความลำบาก จนขณะนี้มีการพูดกันปากต่อปาก ว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยให้ความสนใจแรงงาน แต่มาครั้งนี้จะเอาวัคซีนมาฉีดให้พวกเขา ทำให้พวกเขาคิดว่า จะถูกใช้เป็นหนูทดลองยาหรือไม่ ซึ่งนี่เป็นปัญหาการสื่อสารที่นำไปสู่ความเข้าใจผิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี