ในขณะที่การฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 หรือ โควิด-19 ให้ครอบคลุมประชากรจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ยังสวนทางกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในแต่ละวัน ตัวแปรสำคัญ ที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย และนำมาใช้รักษาโควิด-19กันทั้งประเทศในขณะนี้ คือ“ฟ้าทะลายโจร”สมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่คู่กับคนไทยมานานหลายร้อยปี
มีผลการวิจัยชี้ชัดว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้งเชื้อโควิดลงปอดได้ และจากการนำไปใช้รักษาผู้ป่วยในเรือนจำทั่วประเทศ เมื่อนำไปรักษาควบคู่กับการใช้สมุนไพรพื้นบ้าน เช่น ขิง ข่ากระชาย ผลออกมาว่าผู้ป่วยในเรือนจำหายป่วยเกือบ 100% สามารถหยุดคลัสเตอร์ในเรือนจำได้อย่างน่าอัศจรรย์
จากหลักฐานเชิงประจักษ์ในหลายๆ กรณี ส่งผลให้ความต้องการฟ้าทะลายโจรสูงจนขาดตลาด โดยเฉพาะผู้ผลิตหลัก และได้รับความน่าเชื่อถือเป็นอันดับหนึ่งอย่างโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แม้จะเพิ่มกำลังการผลิตในทุกช่องทางแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ทันต่อความต้องการอยู่ดี เนื่องจากต้องส่งยาไปช่วยผู้ป่วยในพื้นที่เสี่ยง ที่นอนรอเตียง หลายหมื่นรายทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังต้องปันยาสำหรับการจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปที่ซื้อผ่านทางออนไลน์ และที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจ.ปราจีนบุรี ภาพคนรอคิวเพื่อซื้อยาฟ้าทะลายโจรยาวเหยียด แสดงถึงความหวังสุดท้ายที่ประชาชนจะพึ่งพา เพื่อเอาชนะไวรัสร้ายที่กลายพันธุ์จนวัคซีนทุกยี่ห้อเอาไม่อยู่
จากสมุนไพรทางเลือก จึงกลายเป็นทางรอดของผู้คน ไม่มีใครคาดคิดว่า สมุนไพรพื้นบ้านที่คนมองผ่านไม่เห็นความสำคัญ จะกลายมาเป็นสมุนไพรเทพ มรดกทางภูมิปัญญาของ ปู่ ย่า ตา ยาย ทิ้งไว้ให้ลูกหลานแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
นายสุนทร ทองคำ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วังท่าช้าง ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.วังท่าช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี บอกว่า ขณะนี้ทางกลุ่มฯ ได้นำความรู้เรื่องการผลิตสมุนไพรฟ้าทะลายโจรที่ได้จากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มาผลิตเพื่อรับประทานกันเอง โดยยืนยันว่าวัตถุดิบได้ส่งให้โรงพยาบาลอภัยภูเบศรตามจำนวน ส่วนสาเหตุที่ทางกลุ่มฯ ต้องมาผลิตกันเองก็เพราะต้องการจำหน่ายให้กับชาวบ้านในท้องที่ และประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงยาได้ ในราคาที่ไม่แพง และเป็นยาที่ได้มาตรฐานแม้จะเป็นการบรรจุกันเองก็ตาม
“สมาชิกของกลุ่มฯ ส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่หลังบ้านปลูกต้นฟ้าทะลายโจรแบบเกษตรอินทรีย์ เมื่อมีอายุครบ 2 เดือน จะนำมาตัดกิ่งหั่นเป็นชิ้นและนำไปตากในโรงเรือนที่จัดทำไว้รวม 3 แดด จากนั้นจึงจะนำใบแห้งมาใส่เครื่องปั่นละเอียดเป็นเวลา 1 นาที และนำออกมาบรรจุลงแคปซูลใส่ในถุงซีล จำนวน 100 เม็ด จำหน่ายให้ประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ในราคาถุงละ 80 บาท และยังแบ่งปันให้กับชาวบ้านในชุมชนรับประทานฟรีด้วย โดยขณะนี้ยังไม่มีชาวบ้านในชุมชนติดเชื้อแม้แต่คนเดียว ส่วนกำลังผลิตจากการบรรจุแคปซูล ซึ่งใช้แรงงานคน จะสามารถผลิตได้ราววันละ 20,000 เม็ด” นายสุนทร กล่าว
นายสุนทร ยังได้กล่าวเตือนประชาชนด้วยว่า ขอให้เลือกซื้อหายาฟ้าทะลายโจรจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เนื่องจากขณะนี้มีฟ้าทะลายโจรปลอมมาจำหน่ายในท้องตลาด โดยผสมสะเดาที่มีรสขม และสีเขียวเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีการนำฟ้าทะลายโจรที่ผสมอาหารสัตว์ ซึ่งปกติจะใช้รักษาสัตว์ นำมาขายปนกับฟ้าทะลายโจรทั่วไป จึงอยากให้ประชาชนระมัดระวัง
ทางด้าน นายโสภณ เอี่ยมศรีวงศ์ รองประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วังท่าช้างหนึ่งในเกษตรกรที่ปลูกฟ้าทะลายโจรบนพื้นที่ 5 ไร่ กล่าวว่า ชาวบ้านใน ต.วังท่าช้าง ปลูกฟ้าทะลายโจรไว้เพื่อใช้ในครัวเรือนและส่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่กำหนดมาตรฐานว่าต้องทำแบบเกษตรอินทรีย์ ในจำนวนที่ไม่มากนัก แต่เมื่อปี 2563 มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบแรก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้สั่งให้เพิ่มพื้นที่เพาะปลูก เพื่อขยายการผลิตตามปริมาณความต้องการของประชาชนโดยได้มอบต้นกล้า และทำเอ็มโอยูร่วมกัน ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
“ฟ้าทะลายโจรเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ง่าย แข็งแรง และสามารถใช้เป็นยาได้ทั้งต้น ระยะเวลาในการปลูกราว 4 เดือน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 3 ครั้ง ในระหว่างนั้น ก็จะเสริมต้นกล้า เพื่อให้ทันต่อการเก็บเกี่ยวในแต่ละรอบ ในกลุ่มเกษตรอินทรีย์วังท่าช้าง จะมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 100 ไร่ และอาจทำเป็นอุตสาหกรรมในอนาคต โดยจะขยายการผลิตไปยังสมุนไพรอื่นด้วยเช่น ขมิ้นชัน กระชาย ซึ่งมีความต้องการมากขึ้น” นายโสภณ กล่าว
นายโสภณ ยังกล่าวด้วยว่า จากความต้องการฟ้าทะลายโจรที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีตัวแทนจากบริษัทต่างๆ ติดต่อเข้ามามาก และให้เราเร่งผลผลิตด้วยการใช้เคมี และจะให้ราคาที่สูงกว่า แต่เรายึดมาตรฐานที่ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรกำหนดไว้คือแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าก็คือสุขภาพของพี่น้องเราด้วย ดังนั้นผลผลิตของเกษตรกรในกลุ่ม จึงเป็นเกษตรอินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จะมาสุ่มตรวจหากพบไม่ได้มาตรฐานก็จะตีกลับทันที
ด้าน นายวรวุฒิ อุ่นใจ อดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบให้ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยโควิดในระยะเริ่มต้น ส่งผลให้ฟ้าทะลายโจรขาดตลาดทั่วประเทศ เป็นช่องทางให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาฟ้าทะลายโจรจาก 80 บาทเป็นหลายร้อยบาท บางที่ขายถึง 500 บาท และที่น่าห่วงคือ มียาฟ้าทะลายโจรปลอมออกมาขายในท้องตลาด เป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงพาณิชย์ ต้องประสานความร่วมมือเพื่อดูแลให้ประชาชนเข้าถึงยาที่ได้มาตรฐานในราคาที่เป็นธรรม หากไม่ดูแลก็จะส่งผลให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
อดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวด้วยว่า ถึงเวลาแล้วที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยกระจายยา วันนี้เรามีแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม หมอชนะ เราชนะ ที่สามารถส่งข้อมูล จำหน่ายฟ้าทะลายโจรในช่องทางออนไลน์ โดยองค์การเภสัชกรรมและหน่วยงานของรัฐ และขอความร่วมมือไปทางสมาคมร้านขายยามาเป็นเครือข่ายการกระจายยา โดยรัฐต้องวางมาตรฐานยาฟ้าทะลายโจรว่า แบรนด์ไหน ยี่ห้อไหน ได้มาตรฐานและต้องควบคุมราคาให้อยู่และเร่งวางแผนการจัดส่งยาด้วย เนื่องจากเวลานี้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานจัดส่งโลจิสติกส์ ติดโควิดกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะกลายเป็นว่า เจ้าหน้าที่ส่งยา กลายเป็นคนแพร่เชื้อเสียเอง จำเป็นที่ต้องเข้ามาดูแล และวางแผนอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ยังต้องเร่งใช้ดาต้าเบส คัดทะเบียนว่า ใครเป็นผู้ป่วยเริ่มต้น ที่ต้องให้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษา ต้องมีคู่มือการใช้อย่างชัดเจน เพราะวันนี้ประชาชนหลายคนบริโภคไม่ถูกต้อง บางคนกินล่วงหน้าเพื่อป้องกันมาเป็นปี อาจส่งผลอันตรายต่อระบบของตับ ไต รัฐต้องทำเนื้อหาคอนเทนต์ออกมาแล้วเผยแพร่ให้ประชาชน รับรู้เข้าใจ บริโภคได้ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากภายใต้เทคโนโลยีที่มีอยู่
“ฟ้าทะลายโจรกลายเป็นความหวังของชาติ วันนี้โอกาสของฟ้าทะลายโจรมาถึงแล้ว รัฐบาลต้องมีความชัดเจนว่าจะใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาหลักในการรักษาโควิด และเก็บข้อมูลทดสอบวิจัยอย่างเป็นสากล ถ้ามีผลวิจัยรองรับว่าใช้ได้ผลกับผู้ป่วยโควิดในระยะต้น และกลางได้ ประเทศไหนในโลกก็ต้องอยากซื้อยาเรา ทำไมเราไม่รณรงค์ ให้คนของเราทำเรื่องนี้ให้เป็นสินค้าเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และทำรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล” นายวรวุฒิ กล่าว
นายวรวุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้อะไรก็หารายได้เข้าประเทศยาก นั่นคือโอกาสที่สูญเสียไป ต้องเร่งบูทการวิจัยให้ทั่วโลกยอมรับ ไม่ใช่แค่ฟ้าทะลายโจร แต่ควรทำสมุนไพรอื่น เช่น กระชายขาว ขิง ข่า เครื่องดื่มสู้โควิด ทำให้เป็นสินค้าระดับโลก ทำขิงผงขายทั่วโลก ทุกประเทศก็มีโควิด ถ้าบอกว่า กินสมุนไพรเหล่านี้
สร้างภูมิสู้โควิดได้ ก็ทำวิจัยและพัฒนาเป็นสินค้าส่งออก นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป แต่ยังมีเวลาหากรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
นี่คือโอกาสที่จะผลักดันภูมิปัญญาของคนไทยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานไปสู่ยารักษาโรคของมวลมนุษยชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี