2564 เป็นปีที่ 98 หรือเหลือเวลาอีก 2 ปี ก็จะครบ 1 ศตวรรษที่ประเทศไทยมีบริการ “รถแท็กซี่” โดยประวัติศาสตร์การนำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมาวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสาร ต้องย้อนไปในปี 2466 เมื่อ พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ทดลองให้พลขับนำรถยนต์ออกมาวิ่งรับประชาชน เมื่อเห็นว่าได้รับความนิยมก็ได้สั่งซื้อรถยนต์เพิ่มและก่อตั้ง “บริษัทแท็กซี่สยาม” นิติบุคคลผู้ให้บริการรถแท็กซี่แห่งแรกบนแผ่นดินไทย
ส่วนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการแท็กซี่เมืองไทยเกิดเมื่อปี 2535 เมื่อรัฐบาลในขณะนั้นออกกฎหมายให้แท็กซี่ทุกคันที่จดทะเบียนตั้งแต่หลังมีกฎหมายต้องติด “มิเตอร์” เพื่อกำหนดราคาค่าโดยสารตามระยะทางให้ชัดเจน แทนการต่อรองราคาซึ่งแท็กซี่ต้องจอดนานในการพูดคุยกับผู้ต้องการใช้บริการ ทำให้การจราจรติดขัด ระบบมิเตอร์ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันพร้อมกับมีกฎหมายกำหนดให้รถแท็กซี่ต้องมีอุปกรณ์ต่างๆ นานา เพิ่มขึ้นมาตามลำดับ
แม้จะถูกมองว่าเป็นอาชีพของชนชั้นรากหญ้า แต่แท็กซี่ก็เป็นอีกอาชีพที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะหลังปี 2540 ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปีนั้น บริษัทห้างร้านโรงงานจำนวนมากไปต่อไม่ไหวต้องปิดกิจการ นำมาซึ่งการตกงานของคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนลงมากกลับทำให้ภาคการท่องเที่ยวและและบริการเฟื่องฟูขึ้นมาจนกลายเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญของไทย หลายคนที่ตกงานจึงผันตัวมาเป็นโชเฟอร์แท็กซี่ หรือมีแม้กระทั่งพนักงานบริษัทหรือข้าราชการที่ขับแท็กซี่เป็นอาชีพเสริมนอกเวลางานหลักของตน
กระทั่งเมื่อวิกฤติโรคระบาด “โควิด-19” มาเยือนในปี 2563 รัฐบาลแต่ละชาติรวมถึงไทยใช้มาตรการปิดประเทศเพื่อสกัดกันเชื้อจากภายนอก ส่งผลให้ประเทศไทยที่การท่องเที่ยวเคยครองสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ถึงร้อยละ 20 และเพิ่งฉลองนักท่องเที่ยวต่างชาติครบ 40 ล้านคนในปี 2562 ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ประกอบกับมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดภายใน กิจการต่างๆ ถูกปิดเกือบทั้งหมดเพื่อให้คนอยู่กับบ้านให้มากที่สุด ส่งผลให้จำนวนคนเดินทางลดลง แท็กซี่จึงเป็นอาชีพที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญการระบาดระลอกที่ 3 โดยเฉพาะจากไวรัสโควิดกลายพันธุ์สายอินเดีย หรือเดลต้า ที่แพร่เชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม รัฐบาลกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นอีกครั้ง ซึ่ง สนั่น อังอุบลกุลประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564 ว่า การประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด อันเป็นพื้นที่ล็อกดาวน์เข้มข้น รวม 29 จังหวัด จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2564 จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจราว 3-4 แสนล้านบาท เพราะพื้นที่เหล่านี้ครองสัดส่วน GDP ถึงร้อยละ 60 ของประเทศ
ในห้วงเวลาเดียวกัน โลกออนไลน์มีการแชร์ภาพ “สุสานแท็กซี่” รถแท็กซี่จำนวนมากจอดทิ้งไว้จนหญ้ารก-เถาวัลย์เลื้อยปกคลุม ซึ่งสถานที่ดังกล่าวคือ สหกรณ์บวรแท็กซี่ เป็นอู่รถที่ตั้งอยู่บริเวณ ถ.พุทธสาคร (ฝั่งใต้-ขาเข้า ถ.พุทธมณฑลสาย 4 และ ถ.เพชรเกษม) ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ดึงดูดให้สื่อมวลชนหลายสำนักเดินทางไปบันทึกภาพแห่งความหดหู่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็น เพราะหากย้อนไปเพียงไม่กี่ปีก่อน กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ที่มีรถแท็กซี่วิ่งให้บริการจำนวนมากแทบทุกจุดทั้งถนนสายหลัก-สายรอง ตลอด 24 ชั่วโมง
วันที่ 4 ส.ค. 2564 ทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” ได้พูดคุยกับ ฐาปกรณ์ อัศวเลิศกุล ที่ปรึกษาสหกรณ์บวรแท็กซี่และราชพฤกษ์แท็กซี่ ซึ่งพาผู้สื่อข่าวเดินดูรถแต่ละคันในสุสานแท็กซี่แห่งนี้ พร้อมกับเล่าว่า “รถแท็กซี่หลายคันที่จอดที่นี่จอดมาแล้วเกือบ 2 ปี” แต่หนี้สินก็ไม่หยุด ทั้งนี้ ปัจจุบันรายได้เฉลี่ยของคนขับอยู่ที่เพียงวันละ 300 บาทต่อวันซึ่งหักค่าเชื้อเพลิงแล้วเหลือเพียงไม่เกิน 100 บาท โดยรถแท็กซี่ 1 คันราคา 1.2 ล้านบาท หากรวมดอกเบี้ยจะอยู่ที่คันละ1.5 ล้านบาท รถที่จอดอยู่ที่นี่เท่ากับมีหนี้ 5-7 แสนบาทต่อคัน
ฐาปกรณ์ ยังกล่าวด้วยว่า ขอวิงวอนบริษัทไฟแนนซ์และลิสซิ่งอย่าคิดเบี้ยปรับ และลดดอกเบี้ยลงมาให้เท่ากับรถยนต์ทั่วไป เพราะคนขับแท็กซี่ทุกวันนี้ต้องบอกว่าลำบากอย่างสาหัสจริงๆ อีกทั้งที่ผ่านมาก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ก็เป็นลูกค้าชั้นดี ส่งค่างวดรถไม่เคยขาดมาโดยตลอด ซึ่งนอกจากที่นี่แล้ว ยังมีแท็กซี่ถูกจอดทิ้งเนื่องจากคนขับไม่สามารถแบกรับภาระต่อไปได้อีกหลายจุด รวมกว่า 2 พันคัน เช่น ที่อู่ในซอยบางแวก 6 ถ.บางแวก ย่านภาษีเจริญ กรุงเทพฯ รวมถึงที่จอดอยู่ตามหน้ากระทรวงต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นพบมีเพียง กระทรวงแรงงาน ที่เข้ามาช่วยเหลือ
“ตอนนี้ผมมีไลน์กลุ่มตั้งให้คนขับแท็กซี่ถ่ายรูปมาว่าความเป็นอยู่เป็นอย่างไร กินข้าวกับอะไร ก็กินข้าวกับปลาทู กินข้าวกับมาม่า สมาชิกผมมี 2 สหกรณ์ รวมแล้ว 8 พันกว่าคน ตอนนี้ลำบากมาก ผมให้ส่งภาพมาให้ดูว่าการกินอยู่เป็นอย่างไร อันนี้ส่วนหนึ่ง ยังมีอีกเยอะแยะที่เขาลำบากมาก ผักบุ้งตำลึง เก็บกินจนโกร๋นหมดแล้ว ขึ้นไม่ทันแล้ว ต้องช่วยกันหน่อย” ฐาปกรณ์ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2564 วิฑูรย์ แนวพานิชนายกสมาคมการค้าเครือข่ายแท็กซี่ไทย เดินทางไปยังกระทรวงแรงงาน เพื่อทวงถามความชัดเจนกรณีการขึ้นทะเบียนประกันสังคมมาตรา 40 เพื่อขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท เนื่องจากมีสมาชิกร้องเรียนว่าไม่สามารถลงทะเบียนได้เพราะที่อยู่ตามทะเบียนบ้านไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดย วิฑูรย์ เปิดเผยว่า “ก่อนหน้านี้เคยมีแท็กซี่วิ่งอยู่บนถนนประมาณ 8.3 หมื่นคันปัจจุบันเหลือเพียง 2 หมื่นคัน” และรายได้ของคนที่ยังวิ่งอยู่เหลือเพียง 300 บาท ทั้งที่มีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ
“มีครอบครัว มีลูก มีเมีย มีค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ-ค่าไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างจ่ายเหมือนกับข้าราชการ คนขับแท็กซี่มีรายจ่ายเหมือนกัน ไม่ได้กินแกลบแทนข้าวได้ เพราะฉะนั้นเขามีรายจ่ายเช่นที่ว่านี้ นี่คือด้านของคนขับที่ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้และไม่มีจะกิน จนถึงขนาดฆ่าตัวตาย ผมเองคงไม่ได้พูด แต่ผมอยู่กับอาชีพนี้มามากกว่า 40 ปี ได้ยินข้อร้องเรียนร้องขอจากสมาชิกทุกวัน ถ้าไปต่อไม่ได้เขาต้องตาย” วิฑูรย์ กล่าว
ในวันเดียวกัน สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์หลังหารือร่วมกับ วิฑูรย์ โดยยืนยันว่าคนขับแท็กซี่ที่มีอายุไม่เกิน 65 ปี สามารถสมัครประกันสังคม มาตรา 40 ได้แม้จะเป็นคนต่างจังหวัดมาทำงานในกรุงเทพฯ แล้วไม่ได้ย้ายภูมิลำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย เพราะมีใบขับขี่สาธารณะที่กรมการขนส่งรับรองเป็นหลักฐานอยู่แล้ว ทั้งนี้ หากยังมีตกหล่นก็จะช่วยอุทธรณ์ให้ ส่วนเรื่องรถถูกยึด เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทางกระทรวงการคลังไปเจรจากับไฟแนนซ์ ว่าในสถานการณ์แบบนี้ควรผ่อนผันกันไป
“ถามว่ายึดรถเขาไปแล้วได้อะไร คุณยึดรถเขาแล้วได้อะไร เขาส่งมา 2 ปีเหลืออีกปีจะพ้นอยู่แล้ว แต่ไปยึดเขามาเขาก็เสียเงินที่ส่งไป แล้วคุณยึดเขาไปคุณก็ต้องจอดอยู่ดี ทำไมคุณไม่ประคองกันไปให้ได้ในส่วนนี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี