มาตรฐานของสถานพยาบาล HA หรือ Hospital accreditation ซึ่งหมายถึง การรับรองคุณภาพสถานพยาบาลโดยเฉพาะ จะต้องผ่านการประเมินหลายด้าน โดยคณะกรรมการพัฒนาสถานพยาบาล ในสถานการณ์การของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ให้ความสำคัญและอยากให้สังคมได้เห็นโรงพยาบาลคุณภาพนั้นเป็นอย่างไร มีการบริหารจัดการรูปแบบใด จากการเสวนาออนไลน์ “โรงพยาบาล HA- โรงพยาบาลคุณภาพในสถานการณ์ COVID -19”
พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) กล่าวถึงความเข้มแข็งระบบบริการสุขภาพในประเทศไทยว่า เป็นความเชื่อมโยงที่ดีระหว่างโรงพยาบาล บ้าน และชุมชน ที่สำคัญมีการปรับตัวตามสถานการณ์ตลอดเวลา สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราเห็นว่าทุกระบบมีความสำคัญไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม และระบบบริการสาธารณสุขในประเทศไทยมีการพัฒนาระบบการบริการมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน กระทรวงสาธารณสุขยังได้ปฏิรูปและให้ความสำคัญในการบริการระบบสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ มีการพัฒนากลไกที่หลากหลาย หนึ่งในกลไกที่ สรพ. ได้เกี่ยวข้องก็คือกลไกการรับรองคุณภาพในสถานพยาบาล ระหว่างที่สถานการณ์ปกติ เราให้โรงพยาบาลสร้างคุณภาพในทำงาน ตามมาตรฐานระบบบริการว่าควรจะเป็นอย่างไรอยู่แล้ว พอมีเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ทุกโรงพยาบาลก็ไม่ได้เปิดมาตรฐาน HA แต่ทุกอย่างอยู่ในจิตวิญญาณของการทำงาน
โรงพยาบาลในประเทศไทยประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ผ่านการรับรองคุณภาพ HA เป็นการการันตีว่า มีการบริการที่มีคุณภาพ มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง สามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นว่าในสถานการณ์โควิดหลายๆ ที่อุปกรณ์บางอย่างไม่เคยมี แต่โรงพยาบาลบริการจัดการจนนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันโรงพยาบาลคุณภาพ HA มีการขยายคุณภาพออกไปนอกโรงพยาบาล สร้างเครือข่ายและพร้อมที่จะสร้างคุณภาพตามพื้นที่ด้วย กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าเอาไว้ว่าอยากจะให้ผู้ป่วยปลอดภัยในการดูแลรักษา แต่ผู้ป่วยจะปลอดภัย บุคลากรต้องปลอดภัย ดังนั้นในสถานการณ์โควิด จะเป็นตัวทดสอบระบบ และเป็นตัวที่ทำให้ระบบของเราเข้มแข็งและแข็งแรงขึ้น และเราก็อยากให้ความสำคัญกับปัจจัย 3P Safety นั่นก็คือ Patient Personnel และ Peple
“ตามบริบทของแต่ละพื้นที่ วิธีการดูแลคนอาจจะแตกต่างกัน แต่โดยหลักการที่เหมือนกัน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลคุณภาพ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 จะทำทุกวิถีทางให้ลดการแพร่เชื้อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง และค้นหาผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด เพราะเชื่อว่า วัคซีนที่สำคัญที่สุด คือวัคซีนที่สร้างมายเซ็ต เพื่อเกิดการเซฟตี้โดยธรรมชาติ เราจะได้ล้างมือ สวมแมสเว้นระยะห่าง เป็นการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างมีคุณภาพเช่นกัน” พญ.ปิยวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
นพ.สมบูรณ์ มะลิขาว จากโรงพยาบาลระยอง เล่าถึงการดูแลและรับมือกับคนไข้ในสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาว่า ในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลมาตรฐานคุณภาพ มีทักษะในการจัดการในเรื่องต่างๆ แต่โควิด-19 เป็นเรื่องใหม่ ที่ทำให้เราตั้งตัวแทบไม่ทัน เราขาดแคลนความสะดวกมากมายในการรับกับสถานการณ์ ต้องดัดแปลงหอผู้ป่วยหนักเป็นหอผู้ป่วยโควิด และคาดไม่ถึงว่าจะหนักขนาดนี้ โชคดีที่เราไม่เคยหยุดนิ่ง เราก็พยายามสร้างหอผู้ป่วยหนัก หอผู้ป่วยโควิด หอผู้ป่วยสามัญแรงดันลบ เพื่อดึงเอาอากาศที่มีเชื้อโรคเข้าสู่ระบบการกรอง เพื่อให้ปลอดภัยกันทั้งหมด แล้วก็มีแล็บพัฒนาเรื่องการตรวจเชื้อโควิด-19
นพ.สมบูรณ์กล่าวว่า แต่เดิมเรามี 604 เตียง บุคลากร 1,800 คน พอสถานการณ์โควิดเข้ามา ปรากฏว่ามีผู้ป่วยโควิดต้องใช้เตียงถึง 1,084 เตียงในระบบของการดูแลทั้งหมด และเราก็ยังต้องรับผู้ป่วยปกติอีก 300-400 คน หมายความว่าปริมาณงานเราเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เราก็เพิ่มความเข้มแข็งขึ้น โดยทบทวนจากการที่มีโควิดติดเชื้อ ดังนั้นบริหารข้อมูลรวมจึงมีความจำเป็น จากตอนแรกที่เราไปไม่เป็น จนเราก็มีการปรับจากกระบวนการความคิดของการทำงานคุณภาพมาสร้างมาตรฐาน เน้นการสื่อสารที่ไม่ให้เกิดการผิดพลาด มีการปรับพื้นที่และปรับระบบการทำงานโดยรวม เพื่อให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยกับคนไข้ มีกระบวนพัฒนาคุณภาพที่สอดคล้องกับคนไข้ที่เข้ามาในทุกๆ วัน
นพ.มานพ ฉลาดธัญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เล่าว่า สำหรับจังหวัดนครพนมจำนวนผู้ป่วยโควิดที่ยืนยันการติดเชื้อหลังน็อกดาวน์ ช่วงพีคที่สุดต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ตัวเลขก็ลดลงและดีขึ้นเรื่อยๆ คอนเซ็ปต์ของนครพนมสำหรับการบริหารจัดการโควิด-19 ว่าด้วย 3T คือ TEST TRACING และ TAKE VACCINE ตามหลักการ 3 ข้อคือ ป่วยกลับมาพร้อมดูแล ป้องกันการแพร่ระบาดในชุมชน และทุกคนมีภูมิคุ้มกันโควิดเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีแบบแผนในการจัดการ แต่เราจะเรียนรู้กับมัน แต่จะใช้เวลานานในการเรียนรู้ไม่ได้ อย่างการคัดกรองก็ต้องให้เร็วที่สุด ใครกลับมาหรือเข้ามาที่นครพนมต้องตรวจให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้ไปถึงบ้าน ถ้าเข้าบ้านจะมีการแพร่ระบาดแน่ๆ ทุกคนที่มาจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลชุมชน จะมาถึงนครพนมเวลาไหน ก็ยังเข้าบ้านไม่ได้ แต่ตรวจแล้วไม่พบเชื้อก็เข้าบ้านด้วยความสบายใจ
ส่วนการเฝ้าระระวัง เราใช้กลไกของ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และผู้นำชุมชนก็ช่วยกันสแกน ตรวจตราตามบ้าน เรื่องการรักษา การที่ป่วยแล้วกว่าจะเข้ามารักษา ทันทีที่มาถึงนครพนม ก็จะให้ยาทันที ให้ยาให้เร็ว เอกซเรย์ปอดให้ไว มีการแยกผู้ป่วยที่สงสัยเพื่อแยกออกมา บุคลากรที่ช่วยกันทำงาน ก็จะมีการเชื่อมโยงและสื่อสารกันตลอดเวลา มีระบบเครือข่ายที่ดีในการดูแลผู้ป่วยแบบครบวงจรโดยการร่วมมือจากทุกเครือข่าย ด้วยแนวคิดแนวปฏิบัติ นครพนมจะปลอดภัย ทุกคนต้องอยู่ในกฎ
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ที่ได้รวบรวมทีมแพทย์ชนบท จากหลายจังหวัดทั่วประเทศมาร่วมปฏิบัติการช่วยเหลือพี่น้องเมืองกรุง ให้เข้าถึงการตรวจหาเชื้อ ยับยั้งการแพร่ระบาดไม่ให้ลุกลาม เล่าว่า ความยากของเราก็คือ เราจะออกแบบชีวิตของเรายังไง บวกกับเราจะออกแบบระบบยังไง
ในฐานะที่เราเป็นหมอบ้านนอก เราจะไปชุมชนในกรุงเทพฯยังไง แต่ละเขตไม่รู้จัก นึกไม่ออก การเตรียมการหลังบ้านมีความสำคัญมาก เราจึงประสานงานกับทีมชุมชนใน กทม. ซึ่งเป็นทีมที่ดูแลในชุมชนอยู่แล้ว ให้ช่วยประสานงานให้เรา เช่น การจัดการตรวจหาเชื้อวันละ 30 จุด โดยทีมเราจะมี 10 คน บ้าง 15 คน นอกจากนี้ เขาจะช่วยเราเรื่องการเตรียมสถานที่ การลงทะเบียน การจัดคิวของผู้เข้ามาตรวจ คนที่เข้ามาตรวจ ไม่หมดก็ไม่เลิก เสร็จจากจุดนี้ ก็ไปต่อ อีกจุดหนึ่ง ถ้ายังมีคนรอตรวจ
เราได้นำเสนอแนวทางเป็นตัวย่อว่า 6R ไว้คือ Rapid Testing แม้เตียงเต็ม จะล้น เรายิ่งต้อง rapid testing โดย ATK-antigentest kit ให้มาก เพื่อแยกผู้ป่วยออกมา, Rapid tracing นำผู้สัมผัสร่วมบ้านร่วมงาน มาตรวจให้มากที่สุดในวันเดียวกัน, Rapid treatment ด้วย early home favipiravir หรือจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ทันทีที่พบผู้ติดเชื้อที่มีอาการหรือมีโรคประจำตัวหรือสูงอายุ ส่วนคนติดเชื้อที่ไม่ป่วยให้ฟ้าทะลายโจร และรับเข้า HI-home isolation ในวันเดียวกัน, Rapid Target vaccination ฉีดวัคซีนให้เร็วและให้ครอบคลุมในชุมชนแออัด โดยเน้นที่ผู้สูงอายุก่อน และหากมีวัคซีนมากพอก็ฉีดทุกคนที่อายุมากกว่า 18 ปี, Rapid Target lockdown ในชุมชนที่ระบาด เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดออกนอกชุมชน
“การไปของเราก็คือ ตรวจ คัดกรอง รักษา จ่ายยา ฉีดวัคซีนเราอยากเห็นการตื่นตัวของคนกรุงเทพฯ เพราะเราเชื่อว่าความตื่นตัวจะช่วยป้องกันภัยจากโควิดได้ มาตรฐานคุณภาพ HA หรือระบบคุณภาพในโรงพยาบาลจะสอนให้เรารู้ว่า เราทำงานต้องวางยุทธศาสตร์ HA จะให้ความสำคัญในการวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาคุณภาพในโรงพยาบาล แล้วก็เดินตามทิศทางที่เรากำหนด เราเองก็ต้องกลับมาทบทวนในการทำงาน ว่าเราเอาการพัฒนาคุณภาพในโรงพยาบาลมาใช้อะไรบ้าง” นพ.สุภัทร กล่าว
นพ.สมศักดิ์ อุทัยพิบูลย์ จากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เล่าถึงการรับมือกับสถานการณ์เมื่อบุคลากรด่านหน้าติดเชื้อโควิด-19 ว่า พนักงานบุคลากรของเราทุกคน ถูกอบรมเรื่องการใส่ชุด PPE แบบถูกต้องเพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อแต่บทเรียนที่เราพบ การถอดชุดมีการปนเปื้อน จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ ฉะนั้นจะต้องมีบัดดี้อยู่ตรงหน้าหรืออยู่ตรงข้าม เพื่อมองดูการถอดชุด PPE ว่าถูกต้องหรือไม่ และเราต้องเรียนรู้ว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนควรต้องฉีดวัคซีนเป็นภูมิคุ้มกัน ขณะที่อีกเคส บุคลากรติดจากผู้ป่วย เนื่องจากทำงานต่อเนื่อง ไม่ได้พัก ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรมาเปลี่ยน และไม่มีใครอยากมาทำตรงนี้นอกจากการเรียนรู้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น เราต้องแก้ปัญหาเพื่อสู้กับกระแสอีกข่าวแบบวันต่อวัน จนความเชื่อมั่นของโรงพยาบาลกลับมาเหมือนเดิม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี