ประเทศไทยที่มีลักษณะเด่นในด้านการใช้ Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเสนอจุดเด่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ วัฒนธรรม อาหารไทย แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติและที่ตั้งของประเทศไทย สิ่งเหล่านี้เองทำให้ไทยได้รับการยอมรับจากสังคมโลก และอีกสิ่งที่ประเทศไทยมีจุดแข็งมากมาย แต่ยังขาดการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากรัฐบาลคือยาไทย แพทย์แผนไทย และสมุนไพร จึงทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
พรรคกล้าเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้ร่วมเปลี่ยนประเทศ และ Soft Powerก็คือหนึ่งในภารกิจและยุทธศาสตร์หลักของพรรค ซึ่ง กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้าเคยกล่าวไว้ว่า ในยุคศตวรรษที่ 21 ผู้บริโภคเริ่มที่จะแสวงหาสินค้าและบริการที่แตกต่าง เริ่มต้องการเห็นความสร้างสรรค์ มีรสนิยมและจินตนาการเรื่องการใช้ของใหม่ของแปลกที่มีคุณภาพเขามองว่าไทยเราจึงควรจะต้องปรับสู่ระบบเศรษฐกิจที่ต้องเติมปัจจัยใหม่เข้าไป นั่นคือเรื่องความสร้างสรรค์ ลำพังปัจจัยเดิมมันไม่พอ เพราะเรามีคู่แข่งมากขึ้น ซึ่งการเติมความสร้างสรรค์เข้าไป จะเห็นได้ว่ามันทำให้บางประเทศเศรษฐกิจเขาเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ อย่างเกาหลีใต้หรือไต้หวัน เขาเติมเข้าไปผ่านเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ ที่ สร้างความสนใจได้
ประวิทย์ สุวรรณสัญญา เด็กหนุ่มวัย 28 ปี ทายาทคนสุดท้องของบริษัทยาโบราณ “สุวรรณโอสถ ตราเครื่องบินลูกโลก” ถือเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ ที่อาสาเข้ามาทำงานในพรรคกล้า ในฐานะเป็นผู้กล้าอยุธยา ด้วยมองว่าพรรคกล้ามียุทธศาสตร์ทำการเมืองสร้างสรรค์และจะผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และมีนักการตลาดที่เก่งกาจอันดับต้นของประเทศไทยอย่าง พี่หมู-วรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะทีมเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก จึงทำให้มีความหวังว่า สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นธุรกิจของต้นตระกูลที่สืบต่อกันมาเกือบ 80 ปี นั้น จะไม่สูญหายไปพร้อมกับรุ่นพ่อแม่ จึงอยากสานต่อ เชื่อมประสานสองยุคได้อย่างลงตัว โดยเขาบอกว่า
“ปัจจุบัน คำว่ายาสมุนไพรไทย คนส่วนใหญ่จะคิดว่า เป็นยาของคนแก่ กินยาก รสขม และรู้สึกว่าไม่อยากกินหรือใช้ซึ่งสมุนไพรไทยนั้น มีประโยชน์และคุณภาพไม่แพ้ยาแผนปัจจุบันเลยโดยส่วนตัว บริษัท สุวรรณโอสถ (โค้วเตียหมง) จำกัด ผลิตยาหอมขายมานานกว่า 70 ปี และตลอดเวลาที่ผ่านมา คำว่ายาแผนไทยได้ลดความนิยมไปมาก คนยุคใหม่ๆ ไม่ค่อยสนใจยาสมุนไพร และหันไปใช้ยานอกเสียมากกว่า จึงทำให้กลุ่มลูกค้าของยาสมุนไพรเป็นผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ แต่ในทางกลับกัน ทางผมและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจฯ หวังเป็นอย่างมากที่จะดึงว่าสมุนไพรไทย ให้อยู่ในใจคนรุ่นใหม่ และลืมคำว่าเป็นยาของคนแก่
โดยทางพรรคมีแนวทางอยากจะสนับสนุนผู้ประกอบการยาสมุนไพรไทยให้ชาวต่างชาติได้รู้จัก และมองถึงประโยชน์ของสมุนไพรไทย ดึงคนรุ่นใหม่ให้มาใช้ ชูความเป็นมาของสมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน และผลักดันเศรษฐกิจไทย ให้ชาวต่างชาติหันมาสนใจสมุนไพรไทยมากยิ่งขึ้น โดยหวังเป็นอย่างมากว่าสมุนไพรไทยจะมีโอกาสผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าไปด้วยกัน” ประวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ เขายังอยากเชิญชวนให้ทำเป็นเทศกาลสมุนไพรไทย แต่ละภาคเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาช้อป มาใช้ สมุนไพรของคนไทย ทำเป็นของฝาก เป็นบริการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ และอยากให้รัฐบาลใช้โอกาสในช่วงเปิดประเทศ สนับสนุนอย่างจริงจัง เพราะในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา สมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจร ได้รับการกล่าวขานถึงอย่างมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่ามีสรรพคุณ ยับยั้งเชื้อโควิดได้ ทำให้ลดการแพร่ระบาดได้เป็นจำนวนมาก และในส่วนของสุวรรณโอสถฯเอง ก็ได้พัฒนายาเขียว เพื่อใช้รักษาผู้ป่วย ให้มีอาการดีขึ้นหลายราย มีประจักษ์พยานที่มีคนหลายรายที่ได้ใช้ยานี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการศึกษาและวิจัยเพิ่มเติม หากต้องการขยายตลาด แต่อุปสรรคสำคัญ ในการพัฒนาต่อยอดสินค้ากลุ่มนี้คือ ระบบการขึ้นทะเบียน ที่เป็นไปอย่างล่าช้า ไม่เอื้อต่อการพัฒนา
ด้านวรวุฒิ อุ่นใจ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็กของพรรคกล้า ซึ่งได้บุกไปถึงแหล่งผลิตและจำหน่ายยาสมุนไพรของสุวรรณโอสถฯและยอมรับว่า ด้วยระบบสืบทอดจากบรรพบุรุษ จึงทำให้ยาแผนโบราณ ยังจำกัดวงใช้อยู่เฉพาะผู้สูงอายุ สิ่งที่น่ากลัวคือ ถ้าหมดคนรุ่นนี้ไปแล้วจะขายใคร ตลาดจะเล็กลงเรื่อยๆ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่นิยม ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำมากที่สุดคือ รีแบรนด์ ปรับแพ็กเกจจิ้งโดยยกตัวอย่างสบู่นกแก้ว ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายมาเป็นเวลากว่า 70 ปี ปัจจุบันก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยขึ้น หรืออย่างสินค้าเกาหลี ก็แทรกไปอยู่ในรายการโทรทัศน์ ในภาพยนตร์ ละคร เกาหลี ทุกเรื่อง ทำให้สินค้าเกาหลี กลายเป็นกระแสหลักที่ได้รับความนิยมทั่วโลกเพราะรัฐบาลเขาสนับสนุนอย่างจริงจัง
“ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะให้สินค้าไทยอยู่ใน ภาพยนตร์ ละครไทย ทุกเรื่อง ถ้าผู้ประกอบการรายใดทำก็จะลดภาษีให้ ผมเชื่อว่าใครก็อยากทำ แต่ปัญหาคือรัฐบาลไทยไม่เคยทำ และไม่รู้จะไปกระตุ้นส่งเสริมอย่างไร จึงทำให้ยาไทยยาแผนโบราณดี จำกัดวงอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุแต่ทั้งนี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ก็จะต้องปรับให้ดูทันสมัย เข้าถึงได้ทุกกลุ่ม เช่น ยาหอม ซึ่งจริงๆ พ่อแม่ผมก็ให้ผมกินตั้งแต่เด็ก และมันก็ดีจริงๆ ถ้าเราปรับแพ็กเกจจิ้งให้สวยงาม ทำให้มันกินง่ายๆ ชงง่ายๆ อาจเป็นในรูปของแคปซูล และบอกวิธีกินอย่างไรได้บ้าง ช่วยอะไรได้บ้าง ต้องให้ความรู้ผู้บริโภค ถ้าปรับแล้ว ผมเชื่อว่า มันจะขยายตลาดได้ เพราะถึงแม้ว่าเด็กจะไม่กิน เขาก็จะซื้อให้พ่อแม่
ที่สำคัญอยากให้ศึกษากฎหมายให้ดีว่าสามารถที่จะขายออนไลน์ได้ไหม ถ้าได้ผลักสู่การขาย ตลาด KOL (Key Opinion Leader) คือการขาผ่าน Influencer ไม่ใช่เจ้าของผลิตภัณฑ์เพิ่มความน่าเชื่อถือ แล้วประสบความสำเร็จอย่างมากที่ประเทศจีน สามารถเปลี่ยนยอดไลค์ เป็นยอดขายได้อย่างมหาศาล” วรวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตามทั้ง วรวุฒิ และ ประวิทย์ ต่างยอมรับว่า การเติบโตของยาไทย ปัญหาในขณะนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวยา หรือสรรพคุณ หากแต่อยู่ที่หน่วยงานการขึ้นทะเบียน ที่ยังเป็นระบบราชการที่ล่าช้า ไม่เอื้อต่อการพัฒนายา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจเอสเอ็มอีจะโดนรังแก มีไม่น้อยที่ต้องล้มหายตายจากไปเพราะไม่มีเส้นสาย ทำให้ไปต่อยาก เนื่องจากการพัฒนาไม่ทันกับการแข่งขัน แม้ยาไทยจะมีจุดแข็งอย่างมากมายก็ตาม
ปัญหาอุปสรรคใหญ่หลวงคือระบบราชการ ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจที่จะไปแข่งขันกับต่างประเทศ และนี่คือเหตุผลที่ตนตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง เพราะคิดว่าทำอย่างไรให้คนที่อยากจะแก้ปัญหาเข้าไปมีอำนาจรัฐ อย่ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องสกปรก ถ้าคนที่อยากเห็นประเทศดีขึ้น แต่ไม่ยอมทำงานการเมือง สุดท้ายเราก็จะโดน การเมือง และระบบราชการรังแก เราต้องไปปรับ ไปแก้ระบบราชการ ไม่ให้มารังแกคนตัวเล็กๆ เพื่อให้มันมีประสิทธิภาพในการทำงาน ให้เกิดความเท่าเทียม พวกเราเป็นต้องเข้าไปช่วยทำงานการเมืองก็จะต้องไปร่วมผลักดัน ให้มันถูกแก้ไข มันควรจะมีกติกาเลยว่าภายใน 7 วัน เอสเอ็มอีมายื่นขอขึ้นทะเบียน จะต้องรู้ผล ถ้าทำได้เอสเอ็มอี ก็จะแข็งแรง เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ก็จะร่ำรวยกันอย่างยั่งยืน มันต้องทั้งระบบ
หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก พรรคกล้า ยอมรับว่าหากต้องการจะทำตลาดยาไทย ต้องทำการตลาด อย่างจริง เพราะสรรพคุณทางยาเราไม่ได้ด้อยกว่าใคร แต่สิ่งที่เราสู้สากลไม่ได้คือการตลาด ที่เขามีโฆษณา รัฐบาลต้องสนับสนุน ให้มีการทำวิจัยและพัฒนา อย่างจริงจัง เพื่อนำผลวิจัยไปตีพิมพ์ทางวารสารทางการแพทย์ เพื่อสามารถส่งออกต่างประเทศไทย นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนให้โรงพยาบาลใช้ยาไทย สร้างแรงจูงใจทางด้านภาษี ถ้าจ่ายยาไทยจะได้ลดภาษี เนื่องจากปัจจุบันสั่งจ่ายแต่ยานอก ให้ความรู้แพทย์แผนไทย แผนโบราณ และแผนปัจจุบัน ว่าถ้าเอายาพวกนี้ไปใช้แล้วได้ผลดี โบราณก็ใช้สืบต่อกันมานานเป็นร้อยๆ ปี เขาก็หายกันมา ถ้ารัฐบาลทำได้ จะทำให้สมุนไพรไทยยาไทย เติบโตอีกเยอะ เพราะยารักษาโรคเป็นปัจจัย 4 ของมนุษย์ยาดีก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดี ต้นทุนชีวิตก็ถูกลงได้เราไม่ต้องบริโภคยาแพงเหมือนทุกวันนี้ และทำให้เราเสียดุลการค้าให้กับต่างประเทศอย่างน่าเสียดาย
“ผมถามว่า เมื่อ 20 ปี ก่อนให้รู้จักอาหารเกาหลีบ้าง แต่เพราะรัฐบาลเขาส่งเสริมในรูปแบบของ Soft power ทำให้วันนี้อาหารเกาหลีเป็นที่นิยมทั่วโลก หนังละคร บ้านเราก็เคยได้รับความนิยม อย่างละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” คนหันมาใส่ผ้าไทยกันมากขึ้น แต่ก็เป็นแบบไฟไหม้ฟาง พอเวลาผ่านไปคนก็ลืม แต่ไปดูหนังเกาหลี เกือบทุกเรื่องต้องกินไก่ทอดเกาหลีกินเหล้าโซจู กินเบียร์เกาหลี เพราะฉะนั้น กฎบ้านเราต้องปรับ ทำไมต้องห้าม และกีดกัน คนตัวเล็กๆ ผลิตยา อาหาร หรือแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด แล้วเราจะเอาตลาดที่ไหนไปสู้กับเขา ยาไทยแม้จะเป็นของดี เช่น ยาเขียว ผมกินมาตั้งแต่เด็กทำให้ไม่เป็นแผลในปาก พอเป็นห่อโบราณ คนรุ่นใหม่ไม่กินก็ต้องปรับแพ็กเกจจิ้ง ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ เข้ากับยุคสมัย
ขณะเดียวกัน รัฐก็ต้องสนับสนุนส่งเสริม ซึ่งถ้าปรับทั้งสองทาง ทั้งตัวเราและกฎกติกา เชื่อว่าตลาดจะขยายตัวอย่างมหาศาล โดยเฉพาะตลาด CLMV สินค้าไทยได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพ นอกจากนี้เรายังมีเครือข่ายร้านอาหารไทย นวดไทย อยู่ทั่วโลก ก็มาจัดเป็นแพ็กเกจขายไปด้วยกัน สินค้าดีขายได้แน่นอน” วรวุฒิ กล่าว
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก็อยู่ที่รัฐบาลว่า พร้อมที่จะสนับสนุน Soft Power สมุนไพรไทย ให้แข่งขันได้ ในตลาดสากลหรือไม่
ถ้าคำตอบคือใช่ก็ต้อง “กล้าเปลี่ยน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี