(ต่อจากตอนที่แล้ว) ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2528 - 2547 หรือในช่วงระยะ 19 ปีที่ผ่านมา ร่างกายหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ไม่ค่อยแข็งแรง ถูกรุมเร้าด้วยอาพาธเสมอ สาเหตุเนื่องมาจากทำงานหนัก ตั้งแต่เป็นวัยหนุ่มจนกระทั่งเข้าสู่ปัจฉิมวัย
*เป็นผู้ป่วยของศิริราช
หลวงปู่เจี๊ยะมีประวัติการรักษา เป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลศิริราช ครั้งแรกวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2528 ด้วยอาการเกี่ยวกับหลอดเลือดในสมอง โดยศาสตราจารย์นายแพทย์นิพนธ์ พวงวรินทร์ และศาสตราจารย์นายแพทย์เติมชัย ไชยนุวัติ เป็นแพทย์เจ้าของไข้
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2528 จักษุแพทย์ผ่าตัดใส่เลนส์เทียมที่ตาข้างขวา วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2529 ผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท
3 ปีต่อมาท่านเริ่มมีอาการชาที่ผิวหนังรอบทวารหนัก ไม่สามารถนั่งตัวตรงเป็นเวลานานได้ศาสตราจารย์นายแพทย์นิพนธ์ พวงวรินทร์ ได้นิมนต์ท่านเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศิริราช หลายครั้งแต่อาการไม่ดีขึ้น
ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เวลา 18.30 น. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เฉลิมชาติ รัตนเทพ ได้ทำการผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทให้แก่ท่านเป็นครั้งที่ 2 แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2532 เวลา 19.30 น.ศาสตราจารย์นายแพทย์เจริญ โชติกวณิชย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์เฉลิมชาติ รัตนเทพ จึงได้ร่วมกันผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทให้แก่ท่านอีกเป็นครั้งที่ 3 ณ โรงพยาบาลศิริราช หลังผ่าตัดสามารถเดินได้ดีขึ้น และอาการชาบริเวณทวารหนักดีขึ้น
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2541 หลวงปู่เจี๊ยะหกล้มมีอาการหลังเท้าซ้ายบวม ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 ท่านได้ไปโรงพยาบาลศิริราช แพทย์ได้ตรวจพบว่า กระดูกนิ้วนางและนิ้วก้อยเท้าซ้ายหัก พร้อมกันนี้ท่านได้รับการรักษาโรคต้อหินที่ตาทั้งสองข้างด้วย
ท่านได้รับการรักษาโรคตาเป็นต้อหินที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นระยะ โดยจักษุแพทย์คือรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงงามแข เรืองวรเวทย์ และได้ไปทำการผ่าตัดรักษาต้อหินที่ตาข้างซ้ายที่โรงพยาบาล ตา หู คอ จมูก โดยนายแพทย์อัทยา เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2543
วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2544 เวลาประมาณ 03.00น.ท่านตื่นจากจำวัดออกกำลังกายด้วยการชกลมตามปกติ เมื่อชกลมเสร็จแล้วท่านจะออกกำลังกายในท่านอนเตะไปด้านซ้ายขวาด้านละ38-39 ครั้ง เกิดอาการชาขากรรไกรแข็งพูดไม่ได้ เนื่องจากเส้นหิตในสมองแตก ทำให้สมองบวม
คณะศิษย์รีบนำส่งโรงพยาบาลศิริราช ท่านมีอาการเส้นโลหิตในสมองซีกขวาแตก มีเลือดคั่งในสมองจำนวนมาก แขนขา ซีกซ้ายอ่อนแรง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอาก้อนเลือดออกโดยรีบด่วน ท่านอาจมรณภาพได้
*ผ่านวิกฤตทางสมอง
วันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2544 ตอนเช้ามืด คณะแพทย์ ผู้ถวายการรักษาจึงได้เรียนเชิญให้ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์นายเเพทย์วรวุฒิ จรรยาวนิชย์ เป็นผู้ทำการผ่าตัดรักษา หมอได้นำท่านเข้าห้องผ่าตัดสมอง
หลังจากผ่าตัดแล้วประมาณ 7 วัน เกิดอาการเลือดคั่งในสมองอย่างแรง หมอได้เปิดบาดแผลที่ผ่าไว้เดิม โดยเลาะด้ายเย็บกะโหลกศีรษะออกเพื่อรักษาอาการเลือดคั่งในสมองอีก รวมทั้งหมด
ท่านได้เข้าพักที่ห้องพิเศษที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลาหลายเดือน ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ กล่าวคือ องค์ท่านสามารถพูดได้ ฉันอาหารเองได้เพียงแต่มีอาการแขนและขาข้างซ้ายเป็นอัมพาต เมื่ออาการท่านทรงตัวได้ คณะศิษย์จึงนิมนต์ท่านกลับมาพักที่ห้องพยาบาลพิเศษ วัดป่าภูวิทัตตปฏิปทาราม ที่คณะศิษย์ ร่วมกันถวาย
แต่ต่อมาหลวงปู่เจี๊ยะเริ่มมีปัญหาในการฉันอาหาร ทางคณะลูกศิษย์ทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาสจึงมีความเห็นร่วมกันว่า ควรจะถวายอาหารทางสายยางผ่านผนังหน้าท้อง เข้าสู่กระเพาะอาหารโดยตรง จึงได้นิมนต์องค์ท่านเข้ารับการผ่าตัดใส่สายยาง ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2544 หลวงปู่เจี๊ยะเข้ารับการรักษาเรื่องกระจกตาข้างขวาอักเสบ รองศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ สิงคาลวณิช เป็นผู้ถวายการรักษาจนกระทั่งหาย
วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 หลวงปู่เจี๊ยะเข้ารับการรักษาเรื่องอาการปวดท้อง โดยรองศาสตราจารย์นายแพทย์สุชาย สุนทราภา และผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ธัญเดช พิมานวุฒิพงษ์ เป็นผู้ถวายการรักษาท่านจนกระทั่งหาย และผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ธัญเดช นิมมานวุฒิพงษ์ เป็นผู้เปลี่ยนสายยางให้อาหารที่หน้าท้องแก่หลวงปู่เป็นระยะๆ
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2545 หลวงปู่เจี๊ยะ มีอาการน้ำท่วมปอดและหัวใจล้มเหลว ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์รุ่งนิรันดร ประดิษฐ์สุวรรณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วันชัย เดชสมฤทธิ์ฤทัย และผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์เดโช จักราพานิชกุล เป็นผู้ถวายการรักษาแก่หลวงปู่เจี๊ยะ
หลังจากนั้นท่านได้ไปเข้าโรงพยาบาลเป็นระยะๆ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯโดยมีศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลเป็นประธานคณะแพทย์ที่ถวายการรักษา เมื่อหลวงปู่เจี๊ยะ อาการดีขึ้นจึงกลับไปรักษาที่วัดตามเดิม
*เทศนาพระอรหันต์ละสังขาร
วันที่หลวงปู่เจี๊ยะ จะเข้าโรงพยาบาลศิริราชเป็นครั้งสุดท้ายนั้น หลวงตามหาบัวท่านได้เดินทางไปเยี่ยมดูอาการป่วยของท่านที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2547 ท่านได้เข้าไปดูภายในภูริทัตตเจดีย์ได้เทศนาถึงความรัก ความเมตตาที่ท่านพระอาจารย์มั่นมีต่อหลวงปู่เจี๊ยะ และกล่าวชมสรรเสริญภูมิจิต ภูมิธรรมของหลวงปู่เจี๊ยะเป็นอเนกปริยาย
หลังจากท่านเข้าชมภูริทัตตเจดีย์แล้วท่านจึงเดินทางมาที่หลวงปู่เจี๊ยะพักอาพาธอยู่ ได้ทักทายพร้อมกับลูบที่มือกล่าวว่า"หลวงตาบัวมาเยี่ยม"
"เราไม่พูดอะไรมาก เพราะจะเป็นการรบกวนท่าน" แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง และได้เทศนาธรรมให้ประชาชนญาติโยมที่ติดตามมาเป็นจำนวนมากในเรื่องว่า "พระอรหันต์ละสังขาร”ประหนึ่งจะเป็นเครื่องหมายเตือนสานุศิษย์ให้ได้ทราบล่วงหน้าว่า คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายของหลวงปู่เจี๊ยะแล้ว สังขารที่แบกหามมานานถึงกาลที่จะต้องทิ้งกันไปแล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหลวงตามหาบัวจะมา หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านจะมีอาการไอไม่หยุดเมื่อหลวงตามาถึงเท่านั้นแหละ อาการไอที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงนั้น ประหนึ่งว่าไม่เคยไอเลย หลวงปู่ท่านนอนนิ่งแสดงคารวะธรรมที่หลวงตามาเยี่ยม
เป็นกิริยาแสดงความเคารพยิ่งแม้ในขณะที่ป่วย แม้หลวงตาจะเทศน์นานเท่าใด ท่านก็ไม่ไอเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระบางรูปที่นั่งอยู่บริเวณนั้นถึงกับอุทานว่า "อัศจรรย์! หลวงปู่เข้าฌานสมาบัติ"
แต่เมื่อหลวงตาเดินทางกลับเท่านั้นแหละ หลวงปู่เจี๊ยะกลับมาไออย่างรุนแรงเหมือนเดิม แม้ด้วยสายตาปุถุชนก็เห็นเรื่องนี้แจ่มชัดอย่างนั้น ก็พอจะอนุมานได้ว่า เรื่องที่จะทำอย่างนี้ได้มิใช่วิสัยสามัญชนคนธรรมดาจะทำได้ ต้องเป็นผู้มีความรู้พิเศษมีภูมิธรรมชั้นสูงที่สามารถระงับเวทนาขันธ์ได้
*เรื่องพระสารีบุตรปรินิพพาน
ในวันนั้นหลวงตานั่งข้างเตียงอาพาธได้กล่าวธรรมเทศนาแบบสบายๆ เพื่อให้หลวงปู่เจี๊ยะรื่นเริงในธรรม และเป็นเชิงเล่าเรื่องชาดกให้ลูกหลานฟังความว่า...พระสารีบุตรเถระ ทำวัตรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเข้าสู่ที่พักกลางวัน ปัดกวาด ปูแผ่นหนัง ล้างเท้า นั่งขัดสมาธิเข้าผลสมาบัติ ครั้นออกจากสมาบัติแล้วเกิดปริวิตกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพานก่อนหรือหลังพระอัครสาวก ก็รู้ว่าอัครสาวกก่อน จึงสำรวจดูอายุของตน ก็รู้ว่าอายุสังขารของตนจักเป็นไปได้เพียง 7 วันเท่านั้นจึงดำริว่าจักปรินิพพานที่ไหนหนอ?
คิดว่า ท่านราหุลปรินิพพานในดาวดึงส์ ท่านพระอัญญา โกญฑัญญะ ปรินิพพานในสระฉัททันต์ เราเล่าจะปรินิพพาน ณ ที่ไหน เกิดจิตปรารภขึ้นว่า มารดาของเราแม้เป็นมารดาพระอรหันต์ 7 รูป ก็ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
พิจารณาว่ามารดาจักบรรลุธรรมด้วยเทศนาของเรา หากว่าเราพึงเป็นผู้ขวนขวายน้อยแล้วไซร้ จะเป็นที่ครหาว่ากล่าวได้ว่า "พระสารีบุตรเป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์มากมายนับไม่ได้ อนึ่งเล่า ตระกูล 80,000 ตระกูล เลื่อมใสในเรา บังเกิดในสวรรค์ แต่ไม่อาจกำจัดแม้เพียงความเห็นผิดของมารดาได้"
จึงตกลงใจว่า เราจักเปลื้องความเห็นผิดของมารดา แล้วจักปรินิพพานในห้องน้อยที่บ้านเกิด จึงเข้าไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปปรินิพพานว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อไปนี้อีก 7 วัน ถ้าพระองค์จักทอดเรือนร่างเหมือนวางภาระลง ขอพระพุทธองค์ทรงอนุญาต"
พระเถระรู้ว่า พระพุทธองค์มีพระประสงค์ให้แสดงฤทธิ์ คือ ตามธรรมดา พระพุทธองค์ไม่อนุญาตให้พระสาวกแสดงฤทธา ศักดานุภาพ แต่คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายที่พระสารีบุตรมากราบทูลลา เพื่อนิพพาน พระพุทธองค์จึงตรัสแก่พระสารีบุตรว่า "สารีบุตร เธอจะแสดงอะไรให้เป็นที่ระลึกแก่พวกน้องๆ ก็จงแสดงเป็นที่ระลึก เป็นมหามงคลต่อไปอีกนาน"
เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วพระเถระจึงแสดงปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ โลดสูง 7 ชั่วต้นตาล ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศ แล้วจึงลงมา แสดงธรรมกราบทูลพระศาสดาว่า 1 อสงไขย กำไรแสนกัป นั่นเป็นการเห็นครั้งแรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย
พระศาสดาตรัสกับเหล่าภิกษุผู้ยืนล้อมอยู่ว่า พวกเธอจงตามไปส่งพี่ชายใหญ่ของพวกเธอเถิด พี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลาย ลาโลก ลาสงสาร วัฏฎวนกองทุกข์ไปในคราวนี้แล้ว
*อนุเคราะห์สุดท้าย
ตลอดระยะเวลา 7 วันที่พระสารีบุตรเดินทางกลับบ้านนาลกคาม ซึ่งเป็นบ้านเกิด เพื่อโปรดโยมมารดา ได้อนุเคราะห์ผู้คนด้วยธรรมเทศนาตลอด ถึงบ้านนาลกคาม (นาลันทา) ในเวลาเย็น แล้วหยุดพักที่ต้นไทรใกล้ประตูบ้าน นายอุปเวรตะซึ่งเป็นหลานชายจึงมาพบเข้า ท่านจึงพูดว่า "ย่าของเจ้าอยู่ในเรือนหรือ ไปบอกย่าเจ้าด้วยว่าเรากลับมาบ้านให้ช่วยจัดห้องน้อยที่เราเคยเกิดให้เราด้วยตัว และจัดที่พักสำหรับภิกษุ 500 รูปด้วย"
หลานจึงนำเรื่องไปบอกแก่นางพราหมณีผู้เป็นโยมมารดา นางคิดว่า "สารีบุตรบวชเมื่อหนุ่มเป็นคฤหัสถ์ เมื่อแก่สงสัยอยากสึกในเวลาพลบค่ำโรคลงโลหิตกำเริบอย่างหนัก เกิดเวทนาใกล้ตายแก่พระเถระ โยมแม่ท่านยืนอยู่ที่ประตูห้องคิดว่า บุตรของเราบวชแล้วมาตายแบบนี้น่าเสียใจจริงๆ
ท้าวมหาราชทั้ง 4 ตรวจดูทราบว่า พระสารีบุตรจักปรินิพพานในห้องน้อยที่บ้านเกิด จึงรีบลงมาไหว้ ยืนอยู่ไม่นานท้าวสักกะจอมเทพ...ท้าวสุยามะ...ท้าวมหาพรหมก็พากันมาสักการะพระเถระแล้วเหาะจากไป
โยมมารดาเห็นเทวดามากราบไหว้และเหาะจากไป จึงเข้าไปในห้องพระเถระ สนทนาถามตอบกันว่า "ลูกเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง4หรือ??”
พระสารีบุตรกล่าวตอบว่า "ท้าวมหาราชนั้นก็เหมือนคนวัดนั่นแหละโยมแม่ ทรงถือพระขรรค์อารักขาตั้งแต่พระศาสดาทรงปฏิสนธิ" โยมมารดาถามอีกว่า "ลูกเป็นใหญ่กว่าท้าวสักกะจอมเทพหรือ??
พระสารีบุตรกล่าวตอบ "โยมแม่เอ๋ย ท้าวสักกะนั้นก็เหมือนสามเณรน้อยๆ ของพระศาสดา"
โยมแม่ของพระสารีบุตรคิดว่า บุตรของเรายังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ แล้วพระบรมศาสดาจะมีอานุภาพมากสักเพียงไหน ความอัศจรรย์และปีติจึงเกิดขึ้นอย่างมาก
พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า โยมแม่ สมัยพระศาสดาประสูติ ตรัสรู้ ประกาศธรรมจักร พันโลกธาตุหวั่นไหว แล้วจึงกล่าวพรรณาพุทธคุณอย่างพิสดารจบลง โยมมารดาได้สำเร็จโสดาปัตติผล
ค่าน้ำนมข้าวป้อน ได้รับการชุดใช้ด้วยธรรมะ จวนใกล้สว่างพระเถระให้พระจุนทะยกท่านลุกขึ้นนั่ง ครั้นแสงอรุณปรากฏ มหาปฐพีเลือนลั่น ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จากนั้นพระพุทธองค์โปรดให้สร้างพระเจดีย์
*พระอรหันต์นิพพานง่าย
เมื่อหลวงตามหาบัวแสดงเรื่องพระสารีบุตรปรินิพพานจบลง ท้ายกัณฑ์เทศท่านได้สรุปเรื่องพระอรหันต์กับธาตุขันธ์ดังนี้ว่า... พระอรหันต์ท่านหมดกิเลสทุกอย่างแล้ว ก็มีแต่ความรับผิดชอบในธาตุขันธ์ ไม่ได้เป็นในหัวใจท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว เรียกว่าท่านรับผิดชอบตั้งแต่ท่านบรรลุธรรมตรัสรู้ธรรมแล้ว จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจขาด ท่านก็ปล่อยเลย
พระอรหันต์กับธาตุขันธ์มีความรับผิดชอบเสมอกันกับโลกทั่วๆไป เป็นแต่เพียงท่านไม่ยึด เช่นเดินไปกำลังจะเหยียบรากไม้ แต่คิดว่านั้นเป็นงู ท่านก็ต้องมีการกระโดดข้ามหรือหลบเป็นธรรมดา
หรือท่านจะลื่นหกล้ม ท่านก็พยายามช่วยตัวเองไม่ให้ล้ม ต่างกันกับคน ทั่วๆ ไปตรงที่ว่า คนทั่วไปจิตใจร้อนวูบๆ เพราะอุปาทานยึดสั่น ส่วนจิตพระอรหันต์ท่านเพียงแต่แย็บเท่านั้น ต่างกันตรงนั้น
อย่างที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน บรรดาพระอรหันต์ปลงธรรมสังเวช คือขันธ์ท่านแสดงอาการเช่นน้ำตาร่วง ไม่ใช่จิตใจของท่านเป็น เวลาท่านจะไปจริงๆ ขันธ์ 5 เป็นวาระสุดท้าย ส่วนนอกนั้นก็ปล่อยไปหมดแล้ว รับทราบเป็นธรรมดา ส่วนธาตุขันธ์รับทราบตลอดทั้งๆ ที่ปล่อยแล้ว เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ปวดก็บอกว่าปวด หนาวก็บอกว่าหนาว ร้อนก็บอกว่าร้อน แต่เป็นอยู่ภายในขันธ์ล้วนๆ
อันนั้นชอบ อันนี้ไม่ชอบ ล้วนอยู่ภายในวงขันธ์ ไม่ได้เข้าถึงจิต ถ้าว่าอันนี้ดี ก็ดีอยู่ในวงขันธ์ ไม่ได้ยึดมั่น อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในโลก ถ้าหากว่าจะเทียบ แล้ว เหมือนเรานั่งอยู่นี่ มีเด็กหรือผู้คนสัญจรไปมา เราไม่ว่าเขารบกวน แต่เขาเป็นของเขาอย่างนั้น พันธุ์ก็ไม่ได้ว่ารบกวนจิตใจ เป็นเพียงรับทราบกัน
นี่แหละสมมุติมันหดเข้ามา เจ็บท้องปวดศีรษะหมดไป จะหดเข้าไป ความรับผิดชอบในวงขันธ์หดเข้ามา จะเข้ามาจุดที่บริสุทธิ์ตามธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ พอหดเข้ามาความทุกข์ร้อนในร่างกายจะหมดไปๆ สุดท้ายความทุกข์ทั้งหลายในร่างกายนี้ไม่มีเลย เงียบไปหมด นี้เรียกว่าสมมุติครั้งสุดท้ายของขันธ์จะดับวูบลง ขณะที่ลมหายใจขาด พอลมหายใจขาดปั๊บ ขันธ์ดับวูบลง จิตดวงที่บริสุทธิ์รับทราบจะดีดออกเป็นธรรมชาติ
ในขณะที่ท่านจะดับขันธ์นั้น ท่านไม่มีทุกข์อะไรเลย บรรดาพระอรหันต์ไม่มี คนทั้งหลายมีความทุกข์ความเดือดร้อน ดีไม่ดี ตกเจียงไปก็มี ไม่มีสติสตังเพราะความทุกข์มากนะ แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น เวลาจะไปจริงๆ ความทุกข์ทั้งหลายหดเข้ามาหมด ตาเหมือนตาไม้ ไผ่ หูก็หูกะทะ อวัยวะต่างๆ เป็นเหมือนซุงทั้งท่อน คือความรู้อันนี้หดเข้าแล้ว ทุกขเวทนาอยู่ในขันธ์ พอความรู้ หดไป ทุกขเวทนาก็หมด ก็เหลือแต่ความรู้ที่ปล่อยความรับผิดชอบออกไป ยุบพอปล่อยปั๊บพร้อมกับลมหายใจออกไป ขาดปั๊บหมด นี่แหละสมมติทั้งมวลหมดในวาระสุดท้ายคือขันธ์ 5 ท่านไปง่ายๆ ท่านไม่ลำบาก ลำบนไม่เหมือนพวกเรา พระอรหันต์ท่านนิพพานง่ายๆ ใต้ร่มไม้ชายเขาที่ไหน
นี่แหละพระพุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาชั้นเอกพิสูจน์ด้วยตนพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สงสัยประจักษ์ผลเป็นพยาน ตลอดจนบาปบุญ นรกสวรรค์ นิพพานท่านเจิดจ้าอยู่ภายในใจนี้ พวกเราตาบอดว่าไม่มี สิ่งที่ว่าไม่มี มันเผาเรา เวลาตายก็เผาตัวเอง
*เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์
เมื่อหลวงตามหาบัวท่านเทศนาธรรมจบเวลา 14.00 น. ท่านจึงลุกขึ้นมอง หลวงปู่เจี๊ยะอย่างเพ่งพินิจสุขุม แล้วกล่าวคำบอกลา "ผมกลับก่อนนะ" คำนี้เป็นคำสั่งลากันครั้งสุดท้ายของพระมหาเถระ ทั้งสอง
หลังจากหลวงตามหาบัวกลับไป 2 ชั่วโมง อาการป่วยของหลวงปู่เจี๊ยะก็กำเริบทรุดหนัก มีไข้สูง หอบเหนื่อย พระคิลานุปัฏฐาก ได้ติดต่อพระอาจารย์เขียวเพื่อคิดต่อรถพยาบาลโดยด่วน
เวลาประมาณ 19.00 น.แพทย์ผู้ดูแลได้แก่รองศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวิน ระงับภัย และรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงพิมพ์ประไพ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ได้จัดรถพยาบาลรับท่านไปที่โรงพยาบาลศิริราช
ระหว่างทางท่านมีอาการเขียว ออกชิเจนในเลือดต่ำ จึงได้นำท่านไปยังโรงพยาบาลกรุงสยามเชนต์คาร์ลอส เพื่อรักษาเบื้องต้นจนปลอดภัย และเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชต่อไป รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุชาย สุนทราภา และรองศาสตราจารย์นายแพทย์สถาพร มานัสสถิตย์ ได้ช่วยกันดำเนินการรับหลวงปู่ไว้ในหอผู้ป่วยวิกฤต
ผลเอ็กซ์เรย์ปอดพบมีสารน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา แพทย์ที่หอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจได้ทำการใส่ท่อ ช่วยระบายเลือดออกจากช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา ได้น้ำปนเลือดประมาณ 1,400 ซีซี และได้ตรวจพบเซลล์มะเร็งในน้ำปนเลือดจากช่องเยื่อหุ้มปอด
คณะแพทย์ผู้รักษาได้ตัดสินใจไม่ถวายยาต้านมะเร็งเนื่องจากประเมินแล้วว่า สภาพร่างกายของท่านคงรับกับภาวะแทรกซ้อนของยาไม่ได้ จึงถวายการรักษาตามอาการเพื่อให้ท่านมีทุกขเวทนาทางกายน้อยที่สุด
*พระมหากรุณาธิคุณทรงห่วงใย
บันทึกหลังจากหลวงปู่เจี้ยะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชมีว่า เมื่อเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณวลัยลักษณ์ทรงทราบข่าวอาการอาพาธหนัก ถึงแม้ขณะนั้นพระองค์ทรงงานอยู่ประเทศเนเธอร์ธแลนด์ ยังทรงติดต่อสอบถามถึงอาการหลวงปู่เจี๊ยะทางโทรศัพท์จากคุณหญิงจรัสศรี ทีปรัตน์ ราชเลขาในพระองค์ฯ ด้วยความห่วงใยยิ่ง เป็นระยะๆ โดยกำชับทางคณะแพทย์ผู้ดูแลรักษา ให้ดูแลหลวงปู่เป็นกรณีพิเศษ
วันใดที่อาการอาพาธหนักเข้าห้อง RCU พระองค์มีส่วนช่วยตัดสินพระทัย วินิจฉัยในการออกและเข้าห้อง RCU ทุกครั้ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นลันพัน อย่างหาที่สุดมิได้
ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2547 หลวงตามหาบัวไปเยี่ยมดูอาการหลวงปู่เจี๊ยะด้วยความเป็นห่วง คณะแพทย์ได้กราบเรียนและถามตอบกับหลวงตาดังนี้
หมอกราบเรียนถามหลวงตาว่า "ปอดข้างขวาติดเชื้อ ต้องเจาะเอาน้ำไปตรวจดูว่าติดเชื้ออะไรบ้าง แล้วแต่ดุลยพินิจ หลวงตาจะว่าอะไรหรือเปล่าคะ... อาหารยังใส่สายยางหน้าท้องเหมือนเดิม"
หลวงตาพูดว่า "หลวงตามาเยี่ยมดูอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจะแนะอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ต้องแล้วแต่หมอ อยู่กับหมอนะ"
หมอกราบเรียนว่า "อย่างนั้นการรักษาหลวงปู่เจี๊ยะก็แล้วแต่ดุลยพินิจของหมอใช่มั้ยเจ้าคะ"
หลวงตากล่าวว่า "มันก็ไม่แน่เหมือนกันล่ะ คำว่าคุณหมออย่างเดียวก็เป็นโลกล้วนๆ มีธรรมอย่างเดียวก็เป็นธรรมล้วนๆ ไปสู่จุดกลางก็มีทั้งธรรมทั้งโลก ผสมกันไปพิจารณากันไป สมควรอย่างไรบ้าง เป็นจุดศูนย์กลางแล้วแต่จะพิจารณากัน หลวงตาก็เพียงแต่แนะได้แค่นี้"
หมอกราบเรียนว่า "ถ้าคุมอาการไม่อยู่ก็รุนแรงไปเลย ถ้าหายก็กลับไปอยู่ในสภาพเดิมที่ป่วยอยู่"
หลวงตากล่าว "เราก็ไม่กล้าวินิจฉัย เพราะกรรมกับโลกเป็นคู่กัน ถ้าพูดแบบโลกก็ว่าเป็นคู่แข่งขันกัน จะเอาทางไหน ถ้าเป็นนักธรรมะ ก็เอาธรรมเป็นหลักใหญ่กว่าโลก ถ้าเป็นโลกล้วนๆ ก็ถือโลกเป็นใหญ่จะเยียวยารักษาอะไรก็มอบให้ทางโลกทั้งหมด ถ้าธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่งหลวงตาจึงไม่กล้าตัดสินให้ ได้แต่ฝากข้อคิดไว้เท่านั้น"
หลวงตากล่าวต่อว่า สำหรับอาจารย์เจี๊ยะนี้เรายืนยันได้เลยว่า "ทางด้านจิตใจไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น โลกกับธรรมอยู่ด้วยกันทางธาตุขันธ์ก็เยียวยากันไป มันควรจะได้แค่ไหนก็เยียวยากันไป ถ้าไม่สามารถจะเป็นไปได้แล้วก็มอบลงในกฎแห่งธรรม"
หลวงตาหันมาถามหมอ "เข้าใจหรือ?" แล้วก็เล่าต่อว่า มันมีอยู่ 2 อย่าง 1) มันมีข้อที่มั่นใจแน่ใจก็คือ ทางด้านจิตใจอาจารย์เจี๊ยะไม่มีปัญหาอะไรเลย 2) ก็มีแต่อยู่กับโลก จะอยู่ไปแค่ไหนๆ ถ้าหากมันเป็นไปก็ได้ก็ปล่อยไปเป็นธรรมไปหมด เข้าใจแล้วหรือ?"
แล้วหลวงตาก็กล่าวเรื่องหลวงปู่เจี๊ยะต่อไปอีกว่า "ทางด้านจิตใจท่านอบรมมาแต่เริ่มแรกบวชนะ อบรมจิตใจล้วนๆ มาตลอด ปัจจุบันนี้ สรุปผลแห่งการปฏิบัติที่ทราบจากการสนทนา หรือทราบด้วยวิธีอื่นใดก็ตาม ก็ลงในจุดว่า "เราเป็นที่แน่ใจ สำหรับทางด้านจิตใจท่านไม่มีปัญหาอะไร แต่เวลานี้ก็อยู่กับขันธ์ล้วนๆ เท่านั้น"
หลวงตาถามหมอย้ำอีกครั้ง "เข้าใจไม่ใช่หรือ?" เป็นครั้งที่3เหมือนกับที่ท่านพูดย้ำเน้นถึงจิตของหลวงปู่เจี๊ยะว่าไม่มีปัญหาอะไรเลยถึง 3 ครั้งเช่นกัน และหลวงตากล่าวว่า "นี่เราก็จะกลับไม่มีอะไร มีเท่านั้นนะ" แล้วหลวงตาก็ลุกขึ้นเขยิบเข้าใกล้ๆ เตียงหลวงปู่เจี้ยะ ยืนพิจารณาส่วนต่างๆ ของสรีระร่างกายด้วยท่วงท่าอันสุขุมเยือกเย็น
...........................
ตามรอยพระอริยะเจ้า! "หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท" พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง คัดลอกจากหนังสือ "ตามรอยพระอริยเจ้าหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี" ท่านคือสมณะสงฆ์สายป่าผู้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองของแม่ทัพกรรมฐานแห่งสยาม : ดำรงธรรม เรียบเรียง
(ติดตามตอนต่อไป) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี