บทความในคอลัมน์นี้ ได้พูดถึง “ที่มา” ของผู้ใช้อำนาจตุลาการมาแล้ว ว่ามี “ที่มา” ที่ดี ไม่ใช่มาจากการเลือกตั้งแบบฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
เพราะฝ่ายตุลาการ จะมาจากการกำหนดคุณวุฒิและการกำหนดประสบการณ์ขั้นต่ำ จากนั้นก็เข้าไปสู่การสอบแข่งขันและการสอบคัดเลือกแล้วไปเข้ารับการอบรม การศึกษา การหล่อหลอม และการพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรและอำนาจหน้าที่ของตน
เราจึงได้คณะตุลาการ อันเป็นที่พึ่งสุดท้าย ที่ปวงชนชาวไทยพอจะยึดถือได้
ส่วนฝ่ายที่มาใช้อำนาจบริหาร แทนพวกเราอยู่นั้น ก็มี “ที่มา” จากความจำเป็นบ้าง จากการปฏิวัติรัฐประหารบ้าง จากพรรคการเมืองหรือ สส. ในระบอบประชาธิปไตยตามแบบที่รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในขณะนั้นกำหนดไว้บ้าง (เช่น กรณีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560)
ท่านที่มาจากความจำเป็น เพื่อมาแก้ไขสถานการณ์ชั่วคราว อาทิ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (2475-2476), ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ (2516-2518) และศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร (2519-2520) ก็ล้วนแต่เคยเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการมาก่อน จึงมี “ภูมิหลัง” ทั้งความรู้และประสบการณ์มาอย่างดีพอ และยังผ่านการแข่งขัน การคัดเลือก การศึกษาและอบรม มาอย่างดีพอ จนสามารถเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร (เป็นนายกรัฐมนตรี) แทนปวงชนชาวไทยได้เป็นอย่างดี ด้วยหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) ไม่มีการทุจริต คอร์รัปชั่น หรือการแจกกล้วย เช่น
ที่ผ่านมาในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา)
ถัดจากนั้น เราก็ได้นายกรัฐมนตรีอีกหลายคน ผู้มี “ที่มา” จากการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเพิ่งกล่าวไปได้เพียง 1 ท่าน คือ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรีคนแรกของเรา (พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา) ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหารโดยตรง ก็เป็นผู้ที่มีภูมิหลัง (ความรู้, ประสบการณ์) อย่างดียิ่งไม่แพ้อีก 3 ท่านที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยความจำเป็นของบ้านเมือง การที่ท่านมีการศึกษาดีทั้งจากในและต่างประเทศ ทำงานประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์ในการบริหารกิจการทหารเป็นอย่างดี รวมทั้งมีความเป็นคนดี ที่เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ มากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีศีลธรรม มีจริยธรรม รู้จักและรักษาวิธีการบริหารบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) จึงสามารถเป็นนายกฯถึง 5 ครั้ง รวมเป็นหัวหน้ารัฐบาล 5 ปีครึ่ง เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ยังต้องอยู่บ้านพระราชทานจนสิ้นชีวิต และครอบครัวก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพจนรัฐบาลในขณะนั้น ต้องเข้ามารับอุปถัมภ์
ผิดกับผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย ผู้มี “ที่มา” จาก “ประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย” ซึ่งก็ต้องใช้วิธีหาเงินเอามาไว้แจกพรรคพวกในมุ้งเดียวกัน เพื่อลงคะแนนสนับสนุนในยามที่ต้องการ
ดังนั้น หากประชากรไทยในจังหวัดใด จะได้สังเกตนักการเมืองในท้องที่หรือในเขตของท่านว่า ก่อนที่จะเข้ามาใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยการเลือกตั้งของท่านนั้น เขามีฐานะอย่างไร และเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว กับเข้าไปสู่อำนาจบริหารแล้ว (เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ) เขามีฐานะที่แตกต่างไปอย่างใดบ้าง
นั่นแหละ คือผลพวงของประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย คนหากล้วยก็รวย คนรับแจกก็รวย คอร์รัปชั่นก็ระบาดไปทั่ว ทุกแขนงงานของรัฐ ประชาชนก็ยากจนลง ประเทศไทยก็ยังเจริญไม่เท่าเทียมกับอารยประเทศ
จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) แบบที่เรานำมาใช้เมื่อ 90 ปีที่แล้ว เป็นแบบที่ทำให้ผู้เข้ามาใช้อำนาจรัฐหลายคน จำเป็นต้องหาเงินเพื่อเข้ามารักษาฐานและเสียงของพวกตนไว้ ให้อยู่ในอำนาจได้ต่อไปให้นานที่สุดที่จะเป็นได้
ดังนั้น ไม่ว่านักการเมืองอาชีพ นักธุรกิจการเมือง นักการเมืองที่ได้อำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จำต้องทำเช่นเดียวกัน ต้องมาตั้งพรรค ต้องมาหาเงินเข้าพรรค ต้องหาเงินเพื่อลงทุนในการเลือกตั้งต้องลงทุนเพื่อการจัดตั้งรัฐบาล และต้องลงทุนเพื่อมิให้รัฐบาลล้ม
พระรักเกียรติ อดีต สส. 7 สมัย และอดีตรัฐมนตรี 5 ครั้ง จึงยืนยันว่า วัฒนธรรมการเมืองทำอุดมการณ์เปลี่ยน
เมื่อนักธุรกิจการเมืองกำลังทำบ้านเมืองพัง และกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการคอร์รัปชั่น ก็มีคนออกมาทำรัฐประหารเสียที
แต่คนทำรัฐประหาร ก็นำระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาใช้อีกทุกครั้ง เพราะคิดว่าเป็นแบบเดียวที่จะนำมาใช้ได้ในประเทศไทยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่แล้ว จึงคิดว่าไม่สามารถนำเอาประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งประธานาธิบดีทั้งสองแบบ (Presidential Democracy และ Semi Presidential Democracy) มาใช้ได้
โดยไม่ได้คิดว่า เราต้องการหาหัวหน้าอำนาจบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ไม่ใช่หาประมุขของรัฐ ซึ่งประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขมา 800 ปีแล้ว
ดังนั้น จึงควรจะมากำหนดกันก่อนว่า “ที่มา” ของหัวหน้าอำนาจบริหาร ที่ปวงชนชาวไทยต้องการนั้นเป็นอย่างไร
ก.สิ่งแรกคือสิ่งที่ต้องห้าม ซึ่งเมื่อเราเห็นถึงข้อเสียของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาแล้ว เราก็ควรวางกฎเกณฑ์ลักษณะต้องห้ามของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไว้ดังนี้
ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา หรือเคยเป็น และสมาชิกภาพสิ้นสุดแล้ว ยังไม่เกินหนึ่งปี นับถึงวันที่แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี
ข.สิ่งต่อไปคือสิ่งที่ต้องการ จาก นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหรือเป็นผู้จะมาใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย ก็น่าจะได้แก่
1.คุณสมบัติทั่วไป
ตามมาตรา 160 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ก็เพียงพอแล้ว ได้แก่
(1) มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์
(3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(4) ไม่มีลักษณะต้องห้ามของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสมาชิก
(5) ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสองปี ก่อนได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
2.คุณสมบัติพิเศษ
โดยที่การบริหารประเทศเป็นเรื่องใหญ่โตและซับซ้อน ผู้ที่จะเข้ามาบริหารได้ จึงควรจะเป็นผู้ที่เคยเป็นนักบริหารมืออาชีพมาแล้ว ไม่ว่าจะจากภาคธุรกิจ ภาคประชากิจ หรือภาครัฐวิสาหกิจ
ซึ่งผู้ที่จะเขียนรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก ก็จะต้องไปคิดดูว่านักบริหารมืออาชีพ ควรจะมีคุณสมบัติพิเศษอย่างใดบ้าง
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี