เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 “กัญชา”ถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติด ประเภท 5 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2563 ฉบับลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ออกตามความในมาตรา 29 วรรคสอง แห่ง ป.ยาเสพติด และ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 โดยให้มีผลเมื่อพ้น 120 วัน นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ให้เฉพาะตัวสารสกัดจากกัญชาและกัญชง (พืชสกุล Cannabis) ยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามป.ยาเสพติดเท่านั้น
ประกาศดังกล่าวส่งผลให้กัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติดอีกต่อไป และไม่ใช่พืชหรือทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดตามกฎหมายอีกต่อไป ยกเว้นตัวสารสกัดจากกัญชา
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาร่วม 6 เดือนแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับกัญชาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่มากมายทีเดียว
เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) จัดเสวนา “เช็คสถานการณ์ 6 เดือนผ่านไปในวันที่มีกัญชารอบบ้าน”โดย รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด กล่าวว่า หลังปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดมีผลเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เท่าที่เห็น บางครอบครัวสามารถป้องกันดีไม่ให้มีการใช้กัญชาสันทนาการเข้ามาในบ้านได้ แต่ภายนอกบ้านยังสามารถพบได้ทั่วไป ทั้งร้านสะดวกซื้อ และการโฆษณาทางทีวี ตอกย้ำความคิดว่ากัญชาปลอดภัยใช้ได้ ขณะเดียวกันก็ยังเห็นผลกระทบจากการได้รับกัญชาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจดังนั้นต้องติดตามผลกระทบต่อเนื่อง แสดงข้อเท็จจริงอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เพื่อนำไปสู่การวางมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพ
“ยืนยันว่าไม่ค้านใช้การแพทย์ แต่การใช้ทั่วไปแบบนันทนาการหรือสันทนาการเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอยู่ในระบบที่ดี เพราะที่ผ่านมามีรายงานพบว่า ผู้อายุต่ำกว่า 20 ปี สูบกัญชามากขึ้น 2 เท่าอย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหลายภาคส่วนก็ช่วยกันออกกฎหมาย ประกาศต่างๆ เพื่อควบคุมระหว่างรอร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ....ที่สมบูรณ์รัดกุมในอนาคต” ผู้อำนวยการ ศศก. กล่าว
ขณะที่ ดร.นพ.มูฮัมหมัดฟาห์มี ตาเละ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ระบุว่า ที่ผ่านมา เรื่องเกี่ยวกับกัญชามีปัญหาเฉพาะหน้ามากมาย ทำให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องมีกฎหมายหรือประกาศออกมาหลายฉบับ ทั้งการใช้ปรุงอาหาร ห้ามใช้ในเด็กต่ำกว่า 20 ปี กลุ่มเปราะบาง แต่ที่ตนเป็นห่วงคือกรณีอบรมผู้ประกอบการ และมีหลักสูตรการสอนในโรงเรียนให้เห็นถึงคุณประโยชน์ คุณค่า การใช้อย่างถูกวิธี เหมือนดาบ 2 คม ทำให้ชินในการใช้กัญชาปรุงอาหารและเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งผู้ประกอบการพยายามให้โรงเรียนมีหลักสูตรสอนการดื่มที่ถูกต้อง แต่ในเชิงลึกเป็นการชี้นำให้ใช้ได้
“ยิ่งวันนี้กัญชาที่ถูกผลักดันหรือถูกกำหนดทิศทางโดยฝ่ายการเมือง อย่างพรรคภูมิใจไทย ที่ผลักดันจนถูกกฎหมายและมีแนวโน้มถึงการใช้กัญชาสร้างการ
ท่องเที่ยว ให้นันทนาการมากขึ้น แต่กระแสสังคมเริ่มกังวล เพราะเห็นผลกระทบตามมา และพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลว่าไม่ยอมรับกัญชาเสรีใช้นันทนาการ ดังนั้นต้องระวัง เพราะจากข้อมูลแม้ว่าผลกระทบจากการใช้กัญชาทางร่างกายไม่มาก แต่มีข้อมูลผู้เข้ารับการบำบัดทางจิตจากกัญชาสัดส่วนปี 2561 อยู่ที่ 3% ปี 2562 อยู่ที่ 14% ปี 2563 อยู่ที่ 8% ปี 2564 อยู่ที่ 14% ส่วนปี 2565 เกือบ 17% จะเห็นว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และน่าจะเป็นเทรนด์ที่ต้องเฝ้าระวัง” ดร.นพ.มูฮัมหมัดฟาห์มี ตาเละ กล่าว
ทางด้าน นางพัชรินทร์ ขันคำ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ สถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
ยาเสพติด(ป.ป.ส.) กล่าวว่า หลังปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดพบว่า มีการขายเมล็ดกัญชา กัญชงทางอินเตอร์เนตเพิ่มขึ้นทั้งนี้ จากการติดตามปลูกพืชกัญชงที่ผ่านมาส่วนใหญ่เน้นเพื่อเศรษฐกิจ แต่เนื่องจากยังขาดองค์ความรู้ทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ที่สำเร็จพบว่า เป็นการปลูกภายใต้ระบบการควบคุมเพื่อการศึกษาวิจัย
ส่วนการปลูกกัญชาพบว่า มากกว่า 90-95% ไม่ประสบความสำเร็จ มีปัญหาโรคพืช และแมลง เพราะขาดองค์ความรู้ในการปลูกที่มีคุณภาพ ทั้งที่ใช้เงินทุนสูง ผลผลิตไม่ได้เกรดที่สามารถนำไปใช้ทางการแพทย์ได้ ขายไม่ได้ จึงเป็นที่น่ากังวลว่าผลผลิตเหล่านี้ จะหลุดเข้าไปในตลาดมืด ที่น่าห่วงคือการใช้ในเยาวชนที่อาจจะนำไปสู่การใช้สารเสพติดชนิดอื่นๆ ตามมาได้ ดังนั้นตนมองว่า ควรมีการควบคุมการปลูก มีกลไกดูแลระดับพื้นที่อย่างทั่วถึง
นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่าการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดของไทย ไม่ผิดอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติด 1961 ว่า เป็นการให้ข้อมูลที่ผิดเพราะในอนุสัญญายังถือว่าเป็นยาเสพติดที่ยังไม่มีประเทศใด นอกจากไทยที่ปลดออกจากยาเสพติด ทั้งนี้ จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่าหลายประเทศที่อนุญาตให้ใช้เพื่อนันทนาการกว่า 40% มีการใช้ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะแถบอเมริกาเหนือ และแอฟริกาบางประเทศ เกิดปัญหาอาชญากรรม ปล้น คดีทางเพศ นำไปมอมผู้หญิงเกิดปัญหาสาธารณสุข ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย อุบัติเหตุทางถนน ขณะที่ปัญหากัญชาใต้ดินก็ยังมีอยู่ ข้อเสนอของยูเอ็นคือควรส่งเสริมให้ประชาชนทำอาชีพอื่น พร้อมยกโครงการพระราชดำริยกเลิกการปลูกฝิ่นของไทยเป็นแบบ ขัดแย้งกับนโยบายรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมการปลูกกัญชามากขึ้น
นายไพศาล กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทยนั้น มีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย เพราะมีเนื้อหาที่ต้องมีการตีความให้เกิดการใช้กัญชาเสรี เช่น การกำหนดพื้นที่ห้ามขาย ห้ามสูบ ซึ่งไม่มีใครเขียนแบบนี้ เพราะเท่ากับว่าสถานที่ที่นอกเหนือจากนั้นถือว่าทำได้ การระบุว่าห้ามสูบที่สาธารณะ แปลว่าสูบในบ้านได้ แล้วเกิดกลิ่นควันไปกระทบเพื่อนบ้าน และกฎระเบียบต่างๆ ที่ออกมากำกับก็ไม่สามารถใช้ได้จริง เช่น พ.ร.บ.การสาธารณสุข เรื่องกลิ่นและควันเป็นเหตุรำคาญก็ต้องมีเงื่อนไขว่าต้องมีการร้องเรียน เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อย้อนไป ตอนยกร่างฯ ก็ไม่มีการประชาพิจารณ์อย่างแพร่หลาย แต่ทำผ่านเว็บฯ มีผู้แสดงความเห็น 97 คน แล้วทำสรุป ที่สำคัญคือกระทรวงสาธารณสุขไม่เสนอร่างฯ ประกอบ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญที่หน่วยงานรัฐไม่ควรละเลย ถือว่ากระทรวงเกียร์ว่าง ซึ่งอาจเพราะรัฐมนตรีอยู่ในพรรคเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หลังร่างฯ ถูกตีกลับมาปรับปรุงเสนอเข้าสภาใหม่นั้น ไม่น่าทันรัฐบาลชุดนี้ เพราะยังต้องผ่านวุฒิสภาอีก ท่ามกลางภาวะสุญญากาศไม่มีกฎหมายควบคุม ดังนั้นภาครัฐต้องมีบทบาทมากกว่านี้ ป.ป.ส.ไม่ควรละเลย เพราะดูแลเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเฉพาะ การอ้างว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติดแล้วจะไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ถูกต้อง เพราะสิ่งที่เห็นชอบให้ปลดล็อกตอนแรกอาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พญ.จริยา ภูดิศชินภัทร ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล นำเสนอกรณีตัวอย่างชายวัยกลางคน 3 ราย ซื้อคุกกี้ผสมกัญชา แบ่งกันกินแล้วเกิดอาการเมา เคลื่อนไหวช้า ภาพตัดเป็นพักๆ จนต้องมาโรงพยาบาล พัก 4 ชั่วโมงอาการจึงค่อยดีขึ้น เมื่อตรวจคุกกี้ที่เหลือก็พบ THC 0.019% ไม่เกินที่กฎหมายกำหนดในการเป็นยาเสพติด แต่กลับมีผลกระทบได้
อีกเคสเป็นชายวัย 30 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการซีกซ้ายอ่อนแรง 30 นาที หลังสูบกัญชาบ้อง และมีอาการปวดศีรษะ ไม่มีตาเบลอ หรือผิดปกติอื่นๆ ตรวจร่างกายและ MRI สมองผลเป็นปกติ รักษาเหมือนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจนหายแล้ว ผู้ป่วยให้ข้อมูลว่าสูบกัญชา 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่อง 2 ปี คาดว่าอาการดังกล่าวน่าจะเกิดจากกัญชา สอดคล้องกับรายงานในต่างประเทศ ที่พบคนสูบกัญชามานานจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองหดเกร็งเฉียบพลัน ภาพถ่ายรังสีหลอดเลือดสมองพบบางจุดตีบชัดเจน ทั้งนี้คนอายุน้อย ถ้าหดแล้วคลายตัวทันทีเนื้อสมองจะไม่ตาย แต่ถ้าคนมีปัญหาหลอดเลือดตีบ เบาหวานความดัน หลอดเลือดตีบชั่วคราวก็จะทำให้สมองขาดเลือดเฉียบพลันหรือมีเลือดออกสมองได้ และกรณีเช่นนี้อาจเกิดกับผู้ป่วยใช้สาร หรือสารเสพติดอื่นๆ ได้ แต่กัญชาก็พบได้ ราว 20%
นอกจากนี้ สารกัญชายังมีทั้งฤทธิ์กดสมอง และกระตุ้นสมองระยะสั้น และผลระยะยาว เช่น จิตเวช ซึมเศร้า อีคิวลด กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมหดเกร็ง เป็นต้น
จากการติดตามสถานการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับกัญชา หลังจากผ่านการปลดออกจากบัญชียาเสพติดมาประมาณครึ่งปี ทำให้พบว่า ยังมีปัญหาต่างๆ ที่น่าเป็นห่วงหลายประการ ซึ่งก็ต้องดำเนินการป้องกันและแก้ไขต่อไป เนื่องจากกัญชานั้น เป็นพืชที่มีทั้งประโยชน์และโทษที่มากมายพอๆ กัน ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้
ดังนั้น จึงต้องมีกฎหมาย ระเบียบต่างๆ วางไว้เป็นแนวทางควบคุมอย่างรัดกุม ชัดเจน เพื่อที่จะทำให้สังคมได้รับประโยชน์จากกัญชาได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ต้องหลีกห่างจากโทษที่อาจจะเกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย