มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ร่วมกับมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES) จัดเสวนาหัวข้อ “วิกฤตค่าครองชีพกับคนทำงาน-ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย?” เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองทั้งที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อยู่ในสภา ณ ปัจจุบัน และที่เป็นพรรคใหม่ซึ่งเตรียมนโยบายสำหรับการเลือกตั้งในอนาคต รวม 6 พรรค เข้าร่วมแสดงมุมมอง ซึ่ง “การคุ้มครองและสร้างความเป็นธรรมให้กับแรงงาน” เป็นหนึ่งในประเด็นที่พูดกันในวงเสวนานี้
พิสิฐ ลี้อาธรรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เล่าว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2565 ได้ขอหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีกลุ่มผู้ใช้มอเตอร์ไซค์รับ-ส่งอาหารโดยรับงานผ่านแอปพลิเคชั่น หรือ “ไรเดอร์” ชุมนุมประท้วง เนื่องจากถูกลดค่าจ้างและเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการทำงาน ซึ่งในขณะที่บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นสามารถลดรายจ่ายลง บรรดาไรเดอร์กลับต้องทำงานหนักขึ้นแต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น
“ผมเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานเข้ามาดูแล เพราะถือว่าไรเดอร์น่าจะเป็นแรงงาน ไม่ใช่พาร์ทเนอร์อย่างที่ตกลงกันกับนายจ้าง พูดง่ายๆ คือนายจ้างเลี่ยงบาลีในการใช้คำว่าลูกจ้างโดยที่มาใช้คำว่าพาร์ทเนอร์ ผมเรียกร้องกระทรวงแรงงานต้องให้ไรเดอร์ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทั้งหลายเข้าสู่ประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งก็จะได้สิทธิประโยชน์ประกันสังคมทั้ง 7 ประการ
ตั้งแต่เจ็บป่วย อุบัติเหตุ ไปจนถึงชราภาพ และเรื่องของประกันว่างงานด้วย ซึ่งผมมองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมผู้ใช้แรงงานอย่างไรเดอร์จะต้องถูกกีดกันออกจากระบบ” พิสิฐ กล่าว
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกพรรค และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในประเด็นของไรเดอร์ ถึงเวลาที่ต้องแก้ไขกฎหมายให้ทันกับยุคสมัย เพราะความสัมพันธ์ในการทำงานในปัจจุบันไมได้มีเฉพาะนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ยังมีรูปแบบการทำงานผ่านแพลตฟอร์มซึ่งกฎหมายไทยยังไปไม่ถึง เช่น จะทำอย่างไรจึงคุ้มครองเรื่องค่าจ้าง
พื้นฐานได้ ไม่ใช่ให้เจ้าของแพลตฟอร์มทำการตลาดแล้วผลักภาระมาที่ไรเดอร์แบบที่เป็นอยู่
“คนมากควรจะมีอำนาจการต่อรองมาก แต่ ณ วันนี้สถานการณ์คือคนมากแต่อำนาจการต่อรองกลับน้อย นี่คือบทบาทที่อำนาจนิติบัญญัติต้องเข้าไปแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ไม่ปล่อยให้ไรเดอร์และผู้รับจ้างจากระบบแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจจะไม่ใช่ไรเดอร์เท่านั้น เราจะต้องพูดถึงบริการรับจองโรงแรมต่างๆ ด้วย ซึ่งต้องให้มีความเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยด้วย” วิโรจน์ กล่าว
เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยสนับสนุนแนวคิดสูตรคำนวณค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้สูตรไว้ว่า “ร้อยละของการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำควรเท่ากับร้อยละของการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อบวกกับการร้อยละของการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพของแรงงาน” เช่น ในปีที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ผลิตภาพของแรงงานเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1 ค่าแรงขั้นต่ำในปีถัดไปก็จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เป็นต้น
“ค่าแรงควรจะเป็นเท่าไร? ผมตอบแล้วเราใช้สูตร อาจจะมีบวกขึ้นเล็กน้อยคิดตามการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่างๆ ขึ้นเมื่อไหร่? เราเสนอให้ขึ้นทุกปี ขึ้นตามสูตรตรงไปตรงมา ไม่ต้องมีใครต่อรองกันเรื่องพวกนี้เพราะเป็นสิ่งที่ควรจะได้จากข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการ ขึ้นแล้วต้องทำอะไรต่อ? แน่นอนรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นของแรงงานสะท้อนกลับไปถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ เรื่องนี้เราเข้าใจ และรัฐบาลจะต้องมีมาตรการไปช่วยผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษี การดูแลเรื่องภาษีนิติบุคคล” รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว
มนัส โกศล หัวหน้าพรรคแรงงานสร้างชาติ เสนอแนะว่า ขอให้เปลี่ยนจาก “ค่าจ้างขั้นต่ำ” เป็น “ค่าจ้างแรกเข้า”
เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ผู้ประกอบการจะใช้ค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับนั้นเป็นค่าจ้างแรกเข้าเวลารับคนมาทำงาน ในขณะที่แรงงานที่มีทักษะสูงหรือมีประสบการณ์ทำงานมานานไม่ได้รับการปรับค่าจ้างขึ้นด้วย ดังนั้นจึงต้องมี “โครงสร้าง
ค่าจ้างแรงงานประจำปี” ในแต่ละสถานประกอบการนอกจากนั้น “ประมวลกฎหมายแรงงาน” ต้องเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหานิยามของกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวกับแรงงาน ที่ใช้ถ้อยคำต่างกัน
“พ.ร.บ. ที่ยุ่งเกี่ยวกับลูกจ้างทั้งหมด 14 ฉบับ เราพยายามผลักดันประมวลกฎหมายรงงานให้เกิดขึ้น จะไปแก้คำนิยามที่ไม่ตรงกัน ตรงไหนไม่มีอุทธรณ์ต้องแก้ อันนั้นคือประมวลกฎหมายแรงงาน ซึ่งตอนนี้ พ.ร.บ.ประมวลฯ เข้าสถาผู้แทนราษฎรแล้ว ไม่ทราบพิจารณาหรือยัง แต่อีกชั้นเราพยายามผลักดันในอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อให้ได้เพื่อให้เกิดประมวลกฎหมายแรงงาน ที่จะแก้ไขคำนิยาม” มนัส กล่าว
สาวิทย์ แก้วหวาน หัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ย้ำความสำคัญของการรวมตัวของแรงงาน ซึ่งที่ผ่านมาได้เคลื่อนไหวเพื่อให้แรงงานกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไรเดอร์ ลูกจ้างภาครัฐ แม้กระทั่งแรงงานข้ามชาติได้รวมตัวกัน แต่นโยบายรัฐมองการรวมกลุ่มของแรงงานว่าเป็นปัญหาความมั่นคง ทำให้ชาติไม่แข็งแรง จึงพยายามออกกฎหมายเพื่อสกัดกั้นไม่ให้แรงงานได้รวมตัวกัน เพราะหากแรงงานเข้มแข็งจะปกครองได้ยาก เช่น แยกแรงงานในส่วนของภาคเอกชนกับรัฐวิสาหกิจออกจากกันให้ใช้กฎหมายคนละฉบับ แยกกฎหมายระหว่างแรงงานในระบบกับนอกระบบ
“รัฐจะอ้างว่าแรงงานนอกระบบไม่มีนายจ้าง เราเจรจากับรัฐได้ เช่น พวกไรเดอร์ทั้งหลาย ทำไมเราปล่อยให้พวกแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นซึ่งเรามองว่าไม่มีนายจ้างที่มีตัวตน แต่ความจริงมันมีตัวตนกันอยู่ หลายประเทศถ้าไม่ดำเนินการตามมาตรฐานเขาไม่ยอมให้เปิดแอปฯ ในประเทศนั้น มันสามารถทำได้ ดังนั้น การเจรจารัฐต้องทำหน้าที่ แต่การจะให้รัฐเข้ามาทำหน้าที่คนต้องรวมกลุ่มกันก่อนเพื่อเจรจากับรัฐ” สาวิทย์ กล่าว
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึง ข้อเสนอของภาคประชาชน เรื่องลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 ชั่วโมง เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ว่าเห็นด้วย ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่งปรับเปลี่ยนทั้งชั่วโมงการทำงานและรูปแบบการทำงานที่ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศตลอดเวลา อีกทั้งให้เวลาพนักงานไปทำอย่างอื่นได้ด้วย เรื่องนี้น่าจะสามารถพิจารณากันได้ เช่นเดียวกับเรื่องการตั้งสหภาพแรงงาน
“ปัญหาหลักๆ ตอนนี้คือกฎหมายค่อนข้างที่จะซับซ้อนในการที่จะจัดตั้งกลุ่มสหภาพขึ้นมา ว่ามันมีกระบวนการค่อนข้างยาว
และมีเอกสารอะไรหลายๆ อย่าง มันก็เป็นระบบราชการเหมือนกันถ้าเกิดมาแก้ในเรื่องตัวบทกฎหมาย ทำอย่างไรให้มันเร็วขึ้น สะดวกขึ้นและง่ายขึ้น ก็น่าจะตอบโจทย์ตรงนี้” ธิดารัตน์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี